Special CL_12
เรื่องของผัวๆ เมียๆ 2
ในบ่ายวันเสาร์ที่อากาศกำลังดี
ผู้คนต่างพาเด็กๆ ออกมาข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นสวนสนุกหรือห้างสรรพสินค้า
และถ้านั่นมันไกลเกินไป การออกมานั่งทานขนมอร่อยๆ
ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ทำให้ร้านขนมเล็กๆ ที่มีเจ้าของเป็นอดีตหัวหน้าและรองหัวหน้าชมรมคหกรรมวิ่งวุ่นไม่แพ้วันอื่น
เผลอๆ จะมากกว่าวันอื่นเสียด้วยซ้ำ
นี่ไงสาเหตุที่ทำให้ปิดร้านวันหยุดไม่ได้
ขณะที่ภายในครัว
เจ้าหญิงคนสวยที่ควรจะจัดการกับขนมหลายชนิดกลับยืนนิ่งอยู่หน้าโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูมาหลายนาทีแล้ว
หรือไม่อย่างนั้นก็เหลือบมองมาทุกนาทีเพราะ...เป็นห่วงใครบางคนที่เขาโทรหาเมื่อเช้า
“เฮ้อ ซีวอนคงกลับไปนอนล่ะมั้ง
ไม่ต้องห่วงเขาหรอก” ฮีชอลพึมพำเสียงเบา
ก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ
เก็บสิ่งที่คิดเอาไว้ในใจให้ลึกลงไปอีก
ในเมื่อเขาอาจจะเป็นห่วงเกินไปจนอีกฝ่ายรำคาญก็เป็นได้ หารู้ไม่ว่ายิ่งห่วงมาก
คุณชายบางคนก็ยิ่งมีความสุขมากเป็นเท่าตัวเช่นกัน
จากนั้น เวลาอีกกว่าชั่วโมงก็เลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คนรักการทำขนมก็เพลินเสียจนลืมเวลา
“ซิน มาช่วยหน้าร้านหน่อยสิ” กระทั่งเสียงของเพื่อนสนิทที่ดังขึ้น
ก่อนจะโผล่หน้าเข้ามาในครัวนั่นแหละที่ทำให้ร่างระหงรีบล้างมือ ขณะที่รับคำเสียงใส
ขาเรียวก็ก้าวไปด้านหน้าร้านทันที
“มีอะ...”
พรึ่บ
“เอ๋”
ยังไม่ทันที่คนสวยจะได้เอ่ยอะไรออกมามากนัก
ดอกกุหลาบสีแดงสดช่อยักษ์ก็ถูกยื่นมาด้านหน้าเสียจนบดบังภาพข้างหน้าเสียมิด
เสียงใสก็ร้องออกมาเบาๆ อย่างตกใจ แต่ก็เพียงไม่นานเมื่อคนที่ยื่นให้ค่อยๆ ลดมือลงจนเผยให้เห็นเจ้าของช่อดอกไม้แสนสวย
คุณชายรูปหล่อที่อยู่เต็มห้องหัวใจของเจ้าของร้านคนสวยน่ะสิ
“ซีวอน...” ฮีชอลได้แต่พึมพำเบาๆ
ดวงตาคมสวยเบิกกว้างขึ้นนิดยามที่มองชายหนุ่มรูปหล่อที่คงนอนเติมพลังมาแล้วกำลังยิ้มอ่อนโยนมาให้
ดวงตาคู่คมก็หวานเสียจนคนได้รับต้องเสหลุบตาลงต่ำ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาทันตา
“ดอกไม้สำหรับเจ้าหญิงคนสวยของผมครับ”
ซีวอนว่าเสียงนุ่ม พลางยื่นกุหลาบช่อใหญ่ยักษ์มาตรงหน้าจนมือเรียวค่อยๆ
รับมันเข้ามาในอ้อมกอด แก้มเนียนก็ยิ่งขึ้นสีจัด เมื่อเห็นสายตาล้อๆ ของเพื่อนสนิท
ไหนจะลูกค้าในร้านที่เล่นจ้องมาไม่ละสายตานั่นอีก
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคำหวานของคนตรงหน้า
“ไม่อายเขาหรือไง”
เจ้าหญิงคนสวยพึมพำเบาๆ ใบหน้าเรียวก็ก้มลงต่ำ ดมกลิ่นกุหลาบหอมๆ แก้เขิน
โดยไม่ทันสังเกตว่าคนฟังหน้าเสียไปวูบหนึ่ง ในเมื่อเขาคำนึงดีว่าคนรักของตัวเองไม่ชอบให้แสดงออกอะไรในที่สาธารณะมากนัก
อีกทั้งเรื่องที่เจอมุนฮวาว่าเอาไว้เมื่อวานก็วิ่งแวบเข้ามาในหัว
“เอ่อ ถ้าซินอาย
ผมเอาไปเก็บไว้หลังร้านก่อนดีมั้ยครับ”
หืม
ฮีชอลถึงกับเอียงคอน้อยๆ
อย่างงุนงงเมื่อคนที่ชอบทำให้เขาเขินอยู่เรื่อยเอ่ยออกมาแบบนี้
ดวงตาคู่สวยก็จ้องมองใบหน้าคมคายที่ดูติดจะกังวลอะไรบางอย่าง
มือเรียวที่กอดดอกกุหลาบเอาไว้ก็ยิ่งกอดแน่น เสียงใสก็ว่าเบาๆ
“ไม่ได้อายสักหน่อย
แค่เขินต่างหากล่ะ” คำตอบที่ทำเอาคนฟังยิ้มออกมาทันที
มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียวเอาไว้มั่นอย่างเคยชิน
เรียกให้แก้มใสยิ่งแดงก่ำขึ้นมาไปอีกระดับหนึ่ง
“แล้วเวลาคุณเขินรู้มั้ยครับว่าสวยมากแค่ไหน”
ฉ่า....ยิ่งคนตัวโตเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มๆ
มากเท่าไหร่ คนฟังก็ยิ่งแก้มร้อนจัดมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งยังอดไม่ได้จะค้อนให้เสียวงใหญ่
คนบ้า
“พี่ฮีชอลเขินใหญ่แล้ว
หน้าแดงแปร๊ดเลยนะครับ”
“ฮิ้ว หวานไม่เกรงใจใครเลยนะเนี่ย”
เด็กวัยรุ่นโต๊ะหนึ่งที่มาติวหนังสือกันร้องแซวขึ้นมาอย่างสนิทสนมกันดีที่ทำเอาพี่ฮีชอลได้แต่ก้มหน้าลงต่ำอย่างอายจัด
ท่าทางที่ยิ่งเรียกรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูจากคนมองที่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ใจก็นึกอยากจะลูบที่แก้มใสเสียที แต่ก็นั่นแหละว่าเวลาคนเยอะๆ
แบบนี้คนรักของเขาไม่ชอบให้แสดงออกอะไรมากนักหรอก
หมับ
แต่แล้วคนเขินกลับทำในสิ่งที่คนตัวโตคาดไม่ถึง
เมื่อมือเรียวจับเข้าที่ข้อมือแกร่งแล้วลากเข้าไปด้านหลังร้านด้วยกัน
โดยมีเสียงแซวดังตามหลังไม่ได้ขาด
หากแต่ดวงตาคู่คมจับจ้องเพียง...ข้อมือที่ถูกจับเอาไว้มั่นต่างหาก
ก็จะมีสักกี่โอกาสล่ะที่คนสวยของเขาจับตัวเขาก่อนน่ะ
เมื่อเข้ามาในครัวด้านหลังได้แล้ว
ฮีชอลก็ได้แต่หันซ้ายหันขวาก่อนจะเอากุหลาบช่องามไปวางเอาไว้บนโต๊ะว่างๆ
ตัวหนึ่งอย่างทะนุถนอม ปลายนิ้วสวยก็ลูบไล้กลีบกุหลาบอย่างเบามือ
ทั้งที่ริมฝีปากยังคลี่ยิ้มสวยๆ อยู่เลย ใจดวงน้อยก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุไปนอกอก
“ว่าแต่
ซื้อมาให้เนื่องในโอกาสอะไรหรือซีวอน” แต่แล้ว
คำถามก็วิ่งเข้ามาในหัวจนใบหน้าสวยจัดหันไปมองคนรักที่ก้าวเข้ามายืนชิดร่าง
และดูเหมือนจะชะงักไปทันทีกับคำถามง่ายๆ นี้
“เอ่อ แทนคำขอโทษครับ...”
กว่าที่ซีวอนจะเอ่ยออกมาก็เงียบไปเกือบอึดใจ และเหมือนว่าคำนี้จะทำให้คนฟังใจหล่นตุบ
เรื่องเมื่อเช้าที่เห็นเรียวอุคโมโหเป็นฟืนเป็นไฟพุ่งวาบเข้ามาในหัวทันที
พร้อมกับคำถามที่ว่า...หรือว่าเมื่อคืน...
“ขอโทษ...ทำไมหรือ” แม้จะคิดเช่นนั้น
แต่เจ้าหญิงคนสวยก็ยังฝืนถามออกมาเสียงเบา แก้มใสซีดสีลงทันที
จนชายหนุ่มที่ยังไม่ทันได้สังเกตได้แต่เกาท้ายทอยนิดๆ
“เรื่องเมื่อวานครับ...”
“ซีวอนไปยุ่งกับใครหรือ”
“ห้ะ!!!”
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยออกมาจนจบ เจ้าหญิงคนสวยก็โพล่งขึ้นมาทันทีจนดวงตาคู่คมเบิกกว้าง
มองเข้าไปในดวงตาคมสวยที่กำลังสั่นน้อยๆ หากแต่ก็มองหน้าเขานิ่ง
เรียวปากสีระเรื่อขบเม้มเข้าหากันบ่งบอกว่าเข้าใจผิดไปไกลสุดโลก
จนพ่อสุภาพบุรุษคนเก่งได้แต่รีบอธิบาย
“ไม่ใช่ครับ! ไม่มีทางเลย
โธ่ ซิน ผมรักซินยิ่งกว่าอะไร ทำไมผมต้องไปยุ่งกับคนอื่นด้วย”
“จริงนะ”
แววตาที่ช้อนขึ้นมามองทำเอาคนรูปหล่อใจสั่นอย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าคมคายก็ยกยิ้มบางๆ
ทั้งยังถือวิสาสะเอื้อมไปจับมือเรียวเอาไว้มั่นแล้วกระชับแน่น
“จริงสิครับ
อย่างเชวซีวอนน่ะมีแค่คิมฮีชอลคนเดียวเท่านั้นแหละ”
“แล้วที่ว่าขอโทษ...”
ฮีชอลได้แต่พึมพำแก้เขิน เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายบอกอย่างนี้
ใบหน้าสวยก็เสมองไปทางอื่นที่ทำให้คนพูดพอจะมีกำลังใจมากขึ้นอีกนิด
เสียงถอนหายใจจึงดังออกมาเบาๆ
“ก็เรื่องที่คุณพ่อของดงแฮพูดไงครับ
เรื่องที่ผมเคยทำซินร้องไห้ตอนครั้งแรกของเรา พอฟังเมื่อวานแล้วผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่เราเริ่มต้นกันไม่สวยเลย
ผมเลยอยากขอโทษ” ซีวอนอธิบายพลางถอนหายใจออกมาอีกเฮือก
เมื่อนึกถึงคำพูดของชายวัยกลางคนคนนั้น
คืนนั้นซินร้องไห้ในตอนที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
เรื่องเก่าที่นานมาแล้ว
แต่ทำให้คนฟังแก้มแดงซ่านขึ้นมาทันที ก็ใครมันจะลืมเหตุการณ์วันนั้นได้ลงล่ะ แต่ใบหน้าสวยก็ส่ายไปมาช้าๆ
แล้วฮีชอลก็ว่าเสียงแผ่ว
“ขอโทษทำไมกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาน่ะ
ซีวอนขอโทษมากี่ครั้งแล้ว อีกอย่างเรื่องวันนั้นน่ะไม่ใช่ความผิดของซีวอนเลยสักนิด”
คนสวยบอกเบาๆ ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาน่ะ คนตรงหน้าดูแลเขาดียิ่งกว่าใคร
ห่วงใยความรู้สึกของเขายิ่งกว่าคนไหนๆ อย่างที่เขาก็คิดเล่นๆ ไว้เหมือนกันว่าหากเปลี่ยนแปลงคืนวันนั้นได้
เขาจะเปลี่ยนมันหรือเปล่า
คำตอบเดียวคือ...ไม่คิดเปลี่ยนมันแม้แต่เรื่องเดียว
เพราะเรื่องวันนั้นทำให้เขามีผู้ชายคนนี้ในวันนี้ยังไงล่ะ
“ก็วันนั้นผมทำให้ซินร้องไห้นี่ครับ”
“แต่วันนี้ซีวอนทำให้ฉันมีความสุขที่สุดนะ”
เสียงหวานที่เอ่ยต่อคำทั้งที่คนพูดอายแทบแย่
ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหลุดยิ้มออกมากับความน่ารัก
ร่างสูงก็ขยับไปชิดร่างบอบบางให้มากขึ้นอีกนิด
จากนั้นก็ก้มลงแล้ววางหน้าผากลงบนไหล่บอบบาง
“เฮ้อ ถ้าอยู่ในบ้านของเรา
ผมคงจูบคุณไปแล้วนะซิน” ถ้อยคำที่ฮีชอลแก้มแดงเรื่อ
แต่มือเรียวที่ขยับมาจับชายเสื้อของอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจก็กำแน่นขึ้น
เขาก็รู้ดีว่าคนรักน่ะตามใจเขาทุกอย่าง แม้กระทั่งการแสดงความรักกลางที่สาธารณะที่เขาได้แต่บ่ายเบี่ยงมาตลอด
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว
ความคิดบางอย่างที่อยู่ในใจมาสักพักก็ผลักดันให้เสียงหวานเอ่ยออกไป
“ก็...จูบสิ”
“!!!”
ซีวอนถึงกับเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนสวยตรงหน้าทันทีอย่างไม่อยากเชื่อ
จนเจอกับแววตาสั่นนิดๆ ของคนเขินอาย
หมับ
ฮีชอลตัดสินใจขยับมือจากที่กำเสื้อมากอดรอบเอวสอบเอาไว้แน่นแทน
แล้วใบหน้าสวยก็ซบลงที่อกอุ่นอย่างไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายมากนัก เสียงใสก็พึมพำเบาๆ
“จริงๆ ฉันจะบอกซีวอนมานานแล้วนะ
เมื่อก่อนน่ะที่ไม่อยากให้ทำแบบนี้เวลาคนเยอะๆ น่ะไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกนะ
แต่ฉันแค่รู้สึกว่าต้องเป็นตัวอย่างให้น้องๆ แล้วเราก็ยังเรียนอยู่
แต่ตอนนี้น่ะ...”
ปลายเสียงแผ่วลงบ่งบอกระดับความเขินอายที่พุ่งสูงปรี๊ดขึ้นเรื่อยๆ
“...เราเรียนจบแล้ว คบกันอย่างคนโตๆ
กันแล้ว ถ้าบางครั้งมันเป็นความต้องการของซีวอน...ก็ทำเถอะ ฉันก็แค่เขินเอง”
คำพูดของคุณแม่ประจำชมรมที่ทำเอาคนฟังนิ่งค้างไปทันที
ในหัวกำลังคำนวณอย่างเร่งด่วนว่าพวกเขาเรียนจบมากันจะสามปีแล้ว
แต่...เพิ่งรู้เรื่องนี้เอาวันนี้
โอ๊ย
นี่กูพลาดโอกาสแสดงความรักกับซินข้างนอกมาสามปีเต็มเลยนะเว้ย ไอ้ซีวอนเอ้ยยยย!
ความคิดที่ชายหนุ่มที่นึกอยากเอาหัวโหม่งกับฝาเตาอบสักที
แต่ฝ่ามือใหญ่ก็รัดรวบเอวบางเอาไว้มั่น อีกมือก็ส่งมาเชยคางเรียวให้เงยขึ้นทันควัน
ดวงตาคู่คมวาววับขึ้นมาทันทีอย่างไม่คิดเสียเวลาไปมากกว่านี้
เอาวะ เสียไปสามปีต่อไปนี้จะบอกคนทั้งโลกเลยว่ารักซินมากแค่ไหน
แววตาของคนตัวโตที่เจ้าหญิงคนสวยได้แต่สะท้าน
ก่อนจะยอมปิดปรือเปลือกตาลงรอรับสัมผัสของคนที่โน้มหน้าเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า
เรียวปากสีระเรื่อก็เผยอขึ้นน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
เชิญชวนให้คนที่เมื่อคืนไม่ได้นอนกอดเมียโน้มเข้าไปหมายจะสัมผัสความอ่อนหวานน่ารัก
แต่แล้ว...
“ซิน พอดีลูกค้ายะ...อ้ะ!!!”
ฟึ่บ
หมับ
อีทึกที่ก้าวเข้ามาหมายจะบอกอะไรกับเพื่อนสักอย่างถึงกับอ้าปากค้าง
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทกำลังจะจูบกับคนรัก
แล้วเหมือนว่าเสียงนี้จะทำให้ฮีชอลลืมตาพรึ่บ
มือเรียวก็หมายจะดันร่างอีกฝ่ายได้ถอยออกไป แต่เหมือนคนเก็บกดจะไม่ยอม
นอกจากจับลำคอระหงไว้มั่นแล้วกดจูบที่เรียวปากหอมหวานเสียแนบแน่น
จนนางฟ้าที่มองอยู่รีบตั้งสติ
“อ่า ตามสบายนะ” ว่าจบ
อีทึกก็ก้าวออกไปพร้อมกับหน้าที่แดงก่ำ
ปล่อยเพื่อนสนิทที่กำลังจูบกับซีวอนอย่างดูดดื่มแบบนั้น
และแน่ล่ะว่าลีลาระดับเทพอย่างเชวซีวอนมีหรือที่คนเขินจะไม่เคลิ้ม
ว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ซีวอนยอมผละออกนั่นแหละ
“ต่อไปนี้
ผมจะเอาแต่ใจมากกว่านี้แล้วนะครับ ซิน” หลังจากที่ขยี้ปากคนสวยไปสักพัก
คุณชายเชวก็ยอมเงยหน้าขึ้น
แล้วเสียงทุ้มก็เอ่ยคำที่ทำเอาร่างบอบบางได้แต่ค้อนให้ทั้งที่ทั้งแก้มทั้งปากแดงเถือกไปหมด
ใบหน้าสวยก็เอนซบที่แผ่นอกกว้าง
“บ้า” คำเดิมที่ไม่ว่ากี่ปีกี่ปีก็หมายถึง...เขินที่ทำให้คนฟังกอดร่างบอบบางไว้แน่น
แต่ใครจะรู้เท่าฮีชอลล่ะว่ากำลังกลั้นยิ้มไว้มากแค่ไหน
ในเมื่อซีวอนตามใจเขามามาก ถ้าต่อจากนี้จะเอาแต่ใจบ้าง...เขาก็เต็มใจ
อีกอย่างเรื่องเมื่อวานน่ะก็อยากชดเชยให้อยู่เหมือนกันนี่นะ อ่า คิมฮีชอลคิดเรื่องน่าอายได้ยังไงกัน
ความคิดของคนสวยที่กอดร่างสูงเอาไว้แน่นแบบนั้นนั่นล่ะ
และแน่ล่ะว่าคงไม่มีใครกล้าเข้ามาในครัวอีกนานเลยเชียวล่ะ...
..........................................
ในที่สุด
ร้านขนมของสองเพื่อนสนิทก็ต้องปิดเร็วกว่าที่คาดเอาไว้จนได้
ในเมื่อฮีชอลตัดสินใจยอมกลับไปพร้อมกับคนรัก ในอ้อมกอดก็มีกุหลาบแดงช่อใหญ่ จนเหลือเพียงอีทึกที่อาสาจะปิดร้านเอง
ดวงตาคู่สวยก็กวาดมองไปรอบร้านที่เขากำลังเก็บกวาดที่อาจจะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็เป็นสิ่งที่เขารักมากเหลือเกิน
ความคิดของคนสวยที่ตอนนี้อาการกลัวคนแปลกหน้าทุเลาลงจนเกือบจะเป็นปกติ
เสียงใสก็ร้องเพลงเบาๆ ยามที่เช็กข้าวของหลังร้านเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็กลับเข้ามาพร้อมกับกับจานใบไม่ใหญ่นักที่แล๊ปพลาสติกใสเอาไว้เรียบร้อยอย่างที่ทำเป็นประจำ
แน่ล่ะสำหรับใครบางคนที่หัวใจบอกว่ารัก
จากนั้น คนสวยที่ไม่อยากรอเฉยๆ
ทั้งยังไม่อยากโทรเร่งคนรักก็จัดการทำความสะอาดหน้าร้านไปพลาง เสียงใสก็ฮัมเพลงไปพลาง
การทำเพื่อสิ่งที่รักที่เหมือนจะทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นาน
ท้องฟ้าภายนอกก็เริ่มมืดลงทุกที จนต้องเปิดไฟดวงน้อยเอาไว้ให้ความสว่าง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คังอิน” แต่แล้ว
ขณะที่กำลังจะเดินเอาของไปเก็บด้านหลังร้าน เสียงเคาะประตูก็ดังเบาๆ ที่ด้านหน้าให้ใบหน้าเรียวสวยหันไปมอง
จนเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองสบายๆ
อย่างที่มองก็รู้ว่าคงตรงมาจากที่คอนโดเลยกำลังยืนอยู่
จนรอยยิ้มหวานกว้างขึ้นในทันที
แอ๊ด
“ทำไมล็อกประตูแล้วล่ะทึกกี้
ว่าแต่นี่ปิดร้านนานหรือยัง” ทันทีที่ประตูเปิดออก หมียักษ์ตัวโตก็กวาดมองไปรอบๆ
ร้านที่เก็บข้าวของไปหมดแล้วบ่งบอกว่าคงเก็บร้านไปพักใหญ่ๆ แล้ว
ทั้งที่เมื่อมองนาฬิกาก็พบว่ามันเพิ่งเป็นเวลาปิดร้านเท่านั้น
“ปิดมาสองชั่วโมงแล้วล่ะ
พอดีว่าซินกลับไปก่อนน่ะ ของหมดก็เลยต้องปิดร้านเร็ว ทำคนเดียวก็ไม่ไหว”
อีทึกบอกด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ยามที่ดันประตูปิดตามเดิม
แต่เหมือนว่าคำนี้จะทำเอาคนตัวโตขมวดคิ้วฉับ ร่างสูงก็หันกลับมามองคนรัก
หมับ
“แล้วทำไมไม่โทรมาบอกล่ะทึกกี้
อยู่คนเดียวแบบนี้มันอันตรายนะ อย่างน้อยโทรเรียกฉันมาอยู่ด้วยก็ได้”
คังอินดึงร่างบางมากอดเอาไว้เสียแนบแน่น จนแก้มใสแดงระเรื่อขึ้นมาทีละน้อย
ในเมื่อแม้ว่าเสียงทุ้มจะดูห้วนๆ ตามประสาคนอารมณ์ร้อน
แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนน่ะ...ความเป็นห่วง
คนตัวโตที่ห่วงใยเขาเสมอ
“ก็ได้ข่าวว่านายไปดื่มมาเมื่อคืนนี่นา
เลยอยากให้พักมากๆ แล้วค่อยมารับก็ได้” อีทึกบอกอย่างใจเย็น ดวงตาคู่สวยที่คนตัวโตสยบแทบเท้ามาแล้วก็สบเข้ากับดวงตาคู่คมนิ่ง
มือเรียวยกขึ้นลูบท่อนแขนแกร่งเบาๆ
อย่างที่ทำให้คนอารมณ์ร้อนเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“ตื่นตั้งแต่เมื่อเที่ยงแล้วล่ะ
ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะมาอยู่ด้วยตั้งแต่เที่ยง
แต่หนที่แล้วที่ฉันมาช่วยเธอเหมือนจะทำให้เธอวุ่นมากกว่าเดิม เลยนั่งๆ นอนๆ
อยู่บ้านจนถึงเวลาปิดร้านเนี่ยล่ะ” คังอินบอกพลางถอนหายใจเบาๆ
นึกไปถึงตอนที่ว่างเลยอยากลองมาช่วยงานคนตาสวยสักที แต่สรุปแล้ว...วินาศสันตะโร
ก็เขามันคนอารมณ์ร้อนจะให้เสิร์ฟลูกค้าอย่างใจเย็น
พูดดีๆ กับคนหาเรื่องน่ะมันทำไม่ได้หรอก ยิ่งเรื่องในครัวตัดทิ้งไปได้เลย
กินเป็นอย่างเดียวเท่านั้นแหละ แล้วพอจะให้มานั่งเฉยๆ
ในร้านก็เหมือนว่าจะกินที่ลูกค้าเสียเปล่าๆ
อีกทั้งใครที่บังอาจมาส่งรอยยิ้มให้คนรัก เขาก็มองมันตาขวางจนลูกค้าหาย สุดท้าย คังอินก็เลยตัดสินว่าเขาควรมาตอนที่ปิดร้านไร้ลูกค้าจะช่วยคนรักได้มากกว่าอย่างอื่น
คำพูดที่คนฟังอดจะยิ้มไม่ได้ ก็พูดไปพูดมาก็หมายความว่าเจ้าตัวห่วงเขาอยู่ดีนั่นแหละ
“คังอิน...”
“หืม”
จุ๊บ
ชายหนุ่มก้มลงมาสบตาคนรักทันทีที่เอ่ยเรียก
แล้วก็ต้องอึ้งไปนิด เมื่อร่างบอบางขยับมากดจูบที่ริมฝีปากได้รูปเบาๆ ทั้งยังยิ้มให้เขาอย่างน่ารัก
“ขอโทษนะเรื่องเมื่อวานน่ะ
ฉันพอจะรู้จากมินมินแล้วว่าเจ้าตัวส่งข้อความไปว่าแค่ฉันไม่กลับบ้าน
ฉันไม่รู้นี่นาว่าน้องจะแกล้งเล่นน่ะ ไม่งั้นคงโทรไปบอกเองแล้ว” อีทึกบอกเสียงหวาน
มือเรียวก็ขยับมากอดเอวสอบเอาไว้ ทั้งยังช้อนตาขึ้นมองคนรักให้คนที่ไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ยิ้มออกมาจนได้
ยอมรับว่าไม่พอใจอยู่
แต่พอเห็นนางฟ้าของเขายิ้มได้ แค่นี้ก็ไม่เห็นเป็นไร
หมับ
“ไม่เป็นไรหรอก
ดีซะอีกได้ไปกินเหล้ากับไอ้พวกนั้น ไม่ได้เจอกันครบคนแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน”
คังอินส่งมือมาลูบแก้มใสเบาๆ บอกปัดให้อีกฝ่ายสบายใจ จนอีทึกยิ้มน้อยๆ
ก็คบกันมาตั้งหลายปี ทำไมจะไม่รู้นิสัยคนๆ นี้ดีล่ะ
คังอินน่ะ...เอาใจใส่เขาที่สุดนั่นแหละ
แล้วมันก็ทำให้ความคิดหนึ่งสว่างวาบเข้ามาในหัว...เรื่องที่คุยกับเพื่อนและน้องๆ
เมื่อคืน
บางทีก็อยากตอบแทนความเอาใจใส่ไม่ต่างกันหรอกนะ
“งั้นนั่งรอนี่แป๊บนึงนะ
ขอเอาของไปเก็บก่อนแล้วค่อยกลับบ้านกัน...อ้อ คังอิน ฉันทำของว่างไว้ให้
ไม่รู้ว่าวันนี้ได้กินอะไรหรือยังน่ะ” อีทึกบอกพลางดึงมือคนรักให้ก้าวเข้ามานั่ง
แล้วผละไปยกจานของว่างที่แล๊ปไว้อย่างดีมาวางตรงหน้า ดวงตาคู่สวยพราวระยับอย่างรู้ดีว่าเวลาเขาไม่อยู่บ้านทีไร
คนแถวนี้ก็อย่าหวังเลยว่าจะทำอะไรทานเอง อย่างมากก็สั่งจากร้านด้านล่างคอนโด
หรืออีกทีก็ไม่ทานมันซะเลย
มันอาจจะเป็นความเคยชินแล้วนี่นะ
เขาทำ...แล้วคังอินก็ทาน
การกระทำแฝงความนัยที่อาจจะมีเพียงพวกเขาสองคนที่รู้กันดี
อาหารคือความรัก ก็เหมือนได้บอกรักกันทุกวันโดยไม่ต้องเอ่ยปากออกมา
และแน่ล่ะว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไร
หมียักษ์ตัวโตก็ไม่เคยให้เหลือเลยสักครั้งอย่างที่สัญญาเอาไว้ในอดีตว่าจะไม่ปล่อยความรักของเขาให้เสียไป
“ขอบคุณ จะไม่ให้เหลือเลย”
คังอินบอกด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น มองร่างบอบบางที่หายลับเข้าหลังร้านไปพร้อมกับของในมือ
ก่อนจะหันมาจัดการของว่างรองท้องอย่างชอบใจในรสชาติ
ดวงตาคู่คมก็มองผู้คนมากมายที่เร่งรีบกลับจากการทำงานในวันเสาร์
พรึ่บ
“หืม” แต่แล้ว
ชายหนุ่มก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเหนือหัว เมื่อหลอดไฟที่เปิดเอาไว้ดับลง ร่างสูงก็ผุดลุกขึ้นทันทีหมายจะเข้าไปหาคนที่ก้าวเข้าไปหลังร้าน
“ทึกกี้!!”
“ไม่เป็นไร สงสัยไฟตกน่ะ ยังมองเห็น
ไม่ต้องเข้ามาหรอก” ทันทีที่ร้องตะโกนเข้าไป อีทึกก็ตอบกลับมาอย่างที่ทำให้คนตัวโตเบาใจจนนั่งลงอีกครั้ง
ในเมื่อร้านก็ไม่ได้ใหญ่โต อีทึกก็บอกเขาหลายทีแล้วว่าปิดตาเดินยังรู้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน
เขาไม่ควรจะห่วงมากเกินไป...ทั้งที่ใจ...แล่นตามเข้าไปหาแล้วล่ะ
ความคิดของคนตัวโตที่ส่ายหน้าช้าๆ
ดวงตาคู่คมก็มองกลับไปยังหน้าร้านอีกครั้ง
เพิ่งสังเกตวันนี้เหมือนกันว่ากระจกในร้านมันเป็นสีชาแบบที่ไม่น่าจะมองเข้ามาเห็น
ยิ่งปิดไฟสนิทขนาดนี้...
หมับ
“หืม ทึกกี้” แต่แล้ว
ความคิดของคนตัวโตก็สะดุดลง เมื่อท่อนแขนเล็กๆ กอดรอบไหล่กว้าง
แล้วใบหน้าเรียวสวยก็เอนซบลงที่ไหล่ แก้มใสเหมือนจะแดงขึ้น
ดวงตาคู่สวยก็มองมาอย่างตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“มีอะไรหรือ” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่มลง
มือใหญ่ก็ลูบท่อนแขนกลมกลึงที่กอดเขาเอาไว้อย่างแสนรัก
ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะขยับไปกดปลายจมูกลงบนแก้มนิ่มเบาๆ ให้คนตาสวยอมยิ้มน้อยๆ
เรื่องเดิมวิ่งกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
เรื่องสถานที่แปลกที่คุยกัน....ร้านของเขาเอง
ก็แค่...อยากเอาใจบ้างเท่านั้นเอง
“นี่คังอินรู้หรือเปล่า...กระจกร้านฉันน่ะเวลาปิดไฟแล้วมืดสนิทแบบนี้คนข้างนอกมองมาไม่เห็นหรอกนะ”
เสียงหวานเอ่ยช้าๆ เรียบเรื่อยเหมือนเล่าเรื่องทั่วไปให้ฟัง จนคนฟังฉุกใจคิดตาม
สมองด้านจินตนาการคิดอะไรบางอย่างออกมาแล้ว
ทว่าด้วยความที่คนรักไม่ใช่คนแบบที่จะเชิญชวนก่อน ดวงตาคู่คมถึงนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“แล้ว...คังอินอยากลองหรือเปล่าล่ะ”
“!!!”
คำถามที่ทำเอาดวงตาคู่คมเบิกกว้าง
ร่างสูงหมุนเก้าอี้มามองคนที่กลับไปยืดตัวตรงตามเดิม
แก้มใสเหมือนจะแดงก่ำอย่างเขินไม่น้อย แต่ก็ยอมขยับมานั่งตักแต่โดยดีเมื่อคังอินดึงแขนเบาๆ
“ทำไมอยู่ๆ ถึงถามล่ะ”
คำถามที่คนฟังขยับหน้ามาซบที่ไหล่แกร่งแล้วก็บอกเสียงเบา
“อืม...อยากเอาใจน่ะ
แล้วก็ขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วย...”
อีทึกบอกอย่างน่ารักที่ทำเอาคนตัวโตที่เอาใจใส่ความรู้สึกของคนๆ
นี้มากที่สุดอารมณ์ขึ้นง่ายๆ สาเหตุหลายอย่างที่เขาแทบจะไม่มีอะไรที่แปลกๆ
เลยก็เพราะไม่อยากให้อีทึกกลับไปกลัวเขาเหมือนวันแรกที่เจอกัน
ไม่อยากให้อีทึกรู้สึกไม่ดี ทั้งที่เขาเองก็ยอมรับว่าบางทีมันก็แอบคิดเอาไว้บ้าง
แต่ในเมื่อครั้งนี้เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา
ชายหนุ่มก็เลยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“แน่ใจนะทึกกี้ ไม่กลัวหรือ” คำถามที่อีทึกส่ายหน้าทันที
แล้วแย้มยิ้มหวานที่สุดส่งให้คนรัก มือเรียวก็คล้องลำคอแกร่งเอาไว้มั่น
“ฉันน่ะรู้อย่างนึงนะคังอิน
เวลาที่ฉันอยู่ในอ้อมกอดของนายน่ะ ฉันจะไม่มีวันกลัวอะไรทั้งนั้น
ฉันรู้ว่าคังอินจะไม่มีทางทำให้ฉันเจ็บ ไม่มีทางทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี...ใช่มั้ย”
อีทึกบอกความในใจออกมา
เบาทว่าก็หนักแน่นที่สุดอย่างเชื่อมั่นว่าคนอารมณ์ร้อนในสายตาคนอื่นน่ะ จริงๆ
แล้วอ่อนโยนกับเขามากแค่ไหน
คำที่คนฟังยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีกับความมั่นใจของร่างบอบบาง
มือใหญ่ก็ขยับสอดรัดรอบเอวบางแน่น
“งั้นฉันก็รู้อย่างนึงเหมือนกันนะทึกกี้”
อีทึกได้แต่มองอย่างตั้งใจ เมื่อคนรักกำลังแนบหน้าผากชิดกับหน้าผากของเขา
ดวงตาคู่คมก็ฉายชัดถึงความรักที่มอบให้จนใจดวงน้อยสั่นสะท้าน แล้วเสียงทุ้มก็เอ่ยคำที่หนักแน่นที่สุด
“ฉันรู้ว่าฉันรักเธอที่สุด”
ว่าจบ จูบที่แสนอบอุ่นก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเนิบช้า
อ่อนหวานและเร่าร้อนที่สุด
หลอมละลายราชินีน้ำแข็งของคนทั้งมหาวิยาลัยให้เหลือเพียงนางฟ้าคนสวยในอ้อมกอดของคนอารมณ์ร้อนเท่านั้น
และถ้าคังอินเปิดโอกาสให้อีทึกได้พูดต่อจากนั้น
ร่างบอบบางก็คงบอกว่า
‘งั้นฉันก็รู้อีกอย่างนึงนะคังอิน...ฉันก็รักคังอินที่สุดเหมือนกัน’
....................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น