วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Special CL_12 เรื่องของผัวๆ เมียๆ 2

Special CL_12 เรื่องของผัวๆ เมียๆ 2



          ในบ่ายวันเสาร์ที่อากาศกำลังดี ผู้คนต่างพาเด็กๆ ออกมาข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นสวนสนุกหรือห้างสรรพสินค้า และถ้านั่นมันไกลเกินไป การออกมานั่งทานขนมอร่อยๆ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ทำให้ร้านขนมเล็กๆ ที่มีเจ้าของเป็นอดีตหัวหน้าและรองหัวหน้าชมรมคหกรรมวิ่งวุ่นไม่แพ้วันอื่น เผลอๆ จะมากกว่าวันอื่นเสียด้วยซ้ำ

            นี่ไงสาเหตุที่ทำให้ปิดร้านวันหยุดไม่ได้

            ขณะที่ภายในครัว เจ้าหญิงคนสวยที่ควรจะจัดการกับขนมหลายชนิดกลับยืนนิ่งอยู่หน้าโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูมาหลายนาทีแล้ว หรือไม่อย่างนั้นก็เหลือบมองมาทุกนาทีเพราะ...เป็นห่วงใครบางคนที่เขาโทรหาเมื่อเช้า

            “เฮ้อ ซีวอนคงกลับไปนอนล่ะมั้ง ไม่ต้องห่วงเขาหรอก” ฮีชอลพึมพำเสียงเบา ก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ เก็บสิ่งที่คิดเอาไว้ในใจให้ลึกลงไปอีก ในเมื่อเขาอาจจะเป็นห่วงเกินไปจนอีกฝ่ายรำคาญก็เป็นได้ หารู้ไม่ว่ายิ่งห่วงมาก คุณชายบางคนก็ยิ่งมีความสุขมากเป็นเท่าตัวเช่นกัน

            จากนั้น เวลาอีกกว่าชั่วโมงก็เลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนรักการทำขนมก็เพลินเสียจนลืมเวลา

            “ซิน มาช่วยหน้าร้านหน่อยสิ” กระทั่งเสียงของเพื่อนสนิทที่ดังขึ้น ก่อนจะโผล่หน้าเข้ามาในครัวนั่นแหละที่ทำให้ร่างระหงรีบล้างมือ ขณะที่รับคำเสียงใส ขาเรียวก็ก้าวไปด้านหน้าร้านทันที

            “มีอะ...”

            พรึ่บ

            “เอ๋” ยังไม่ทันที่คนสวยจะได้เอ่ยอะไรออกมามากนัก ดอกกุหลาบสีแดงสดช่อยักษ์ก็ถูกยื่นมาด้านหน้าเสียจนบดบังภาพข้างหน้าเสียมิด เสียงใสก็ร้องออกมาเบาๆ อย่างตกใจ แต่ก็เพียงไม่นานเมื่อคนที่ยื่นให้ค่อยๆ ลดมือลงจนเผยให้เห็นเจ้าของช่อดอกไม้แสนสวย

            คุณชายรูปหล่อที่อยู่เต็มห้องหัวใจของเจ้าของร้านคนสวยน่ะสิ

            “ซีวอน...” ฮีชอลได้แต่พึมพำเบาๆ ดวงตาคมสวยเบิกกว้างขึ้นนิดยามที่มองชายหนุ่มรูปหล่อที่คงนอนเติมพลังมาแล้วกำลังยิ้มอ่อนโยนมาให้ ดวงตาคู่คมก็หวานเสียจนคนได้รับต้องเสหลุบตาลงต่ำ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาทันตา

            “ดอกไม้สำหรับเจ้าหญิงคนสวยของผมครับ” ซีวอนว่าเสียงนุ่ม พลางยื่นกุหลาบช่อใหญ่ยักษ์มาตรงหน้าจนมือเรียวค่อยๆ รับมันเข้ามาในอ้อมกอด แก้มเนียนก็ยิ่งขึ้นสีจัด เมื่อเห็นสายตาล้อๆ ของเพื่อนสนิท ไหนจะลูกค้าในร้านที่เล่นจ้องมาไม่ละสายตานั่นอีก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคำหวานของคนตรงหน้า

            “ไม่อายเขาหรือไง” เจ้าหญิงคนสวยพึมพำเบาๆ ใบหน้าเรียวก็ก้มลงต่ำ ดมกลิ่นกุหลาบหอมๆ แก้เขิน โดยไม่ทันสังเกตว่าคนฟังหน้าเสียไปวูบหนึ่ง ในเมื่อเขาคำนึงดีว่าคนรักของตัวเองไม่ชอบให้แสดงออกอะไรในที่สาธารณะมากนัก อีกทั้งเรื่องที่เจอมุนฮวาว่าเอาไว้เมื่อวานก็วิ่งแวบเข้ามาในหัว

            “เอ่อ ถ้าซินอาย ผมเอาไปเก็บไว้หลังร้านก่อนดีมั้ยครับ”

          หืม

            ฮีชอลถึงกับเอียงคอน้อยๆ อย่างงุนงงเมื่อคนที่ชอบทำให้เขาเขินอยู่เรื่อยเอ่ยออกมาแบบนี้ ดวงตาคู่สวยก็จ้องมองใบหน้าคมคายที่ดูติดจะกังวลอะไรบางอย่าง มือเรียวที่กอดดอกกุหลาบเอาไว้ก็ยิ่งกอดแน่น เสียงใสก็ว่าเบาๆ

            “ไม่ได้อายสักหน่อย แค่เขินต่างหากล่ะ” คำตอบที่ทำเอาคนฟังยิ้มออกมาทันที มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียวเอาไว้มั่นอย่างเคยชิน เรียกให้แก้มใสยิ่งแดงก่ำขึ้นมาไปอีกระดับหนึ่ง

            “แล้วเวลาคุณเขินรู้มั้ยครับว่าสวยมากแค่ไหน”

            ฉ่า....ยิ่งคนตัวโตเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มๆ มากเท่าไหร่ คนฟังก็ยิ่งแก้มร้อนจัดมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังอดไม่ได้จะค้อนให้เสียวงใหญ่

          คนบ้า

            “พี่ฮีชอลเขินใหญ่แล้ว หน้าแดงแปร๊ดเลยนะครับ”

            “ฮิ้ว หวานไม่เกรงใจใครเลยนะเนี่ย”

            เด็กวัยรุ่นโต๊ะหนึ่งที่มาติวหนังสือกันร้องแซวขึ้นมาอย่างสนิทสนมกันดีที่ทำเอาพี่ฮีชอลได้แต่ก้มหน้าลงต่ำอย่างอายจัด ท่าทางที่ยิ่งเรียกรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูจากคนมองที่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ใจก็นึกอยากจะลูบที่แก้มใสเสียที แต่ก็นั่นแหละว่าเวลาคนเยอะๆ แบบนี้คนรักของเขาไม่ชอบให้แสดงออกอะไรมากนักหรอก

            หมับ

            แต่แล้วคนเขินกลับทำในสิ่งที่คนตัวโตคาดไม่ถึง เมื่อมือเรียวจับเข้าที่ข้อมือแกร่งแล้วลากเข้าไปด้านหลังร้านด้วยกัน โดยมีเสียงแซวดังตามหลังไม่ได้ขาด หากแต่ดวงตาคู่คมจับจ้องเพียง...ข้อมือที่ถูกจับเอาไว้มั่นต่างหาก

            ก็จะมีสักกี่โอกาสล่ะที่คนสวยของเขาจับตัวเขาก่อนน่ะ

            เมื่อเข้ามาในครัวด้านหลังได้แล้ว ฮีชอลก็ได้แต่หันซ้ายหันขวาก่อนจะเอากุหลาบช่องามไปวางเอาไว้บนโต๊ะว่างๆ ตัวหนึ่งอย่างทะนุถนอม ปลายนิ้วสวยก็ลูบไล้กลีบกุหลาบอย่างเบามือ ทั้งที่ริมฝีปากยังคลี่ยิ้มสวยๆ อยู่เลย ใจดวงน้อยก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุไปนอกอก

            “ว่าแต่ ซื้อมาให้เนื่องในโอกาสอะไรหรือซีวอน” แต่แล้ว คำถามก็วิ่งเข้ามาในหัวจนใบหน้าสวยจัดหันไปมองคนรักที่ก้าวเข้ามายืนชิดร่าง และดูเหมือนจะชะงักไปทันทีกับคำถามง่ายๆ นี้

            “เอ่อ แทนคำขอโทษครับ...” กว่าที่ซีวอนจะเอ่ยออกมาก็เงียบไปเกือบอึดใจ และเหมือนว่าคำนี้จะทำให้คนฟังใจหล่นตุบ เรื่องเมื่อเช้าที่เห็นเรียวอุคโมโหเป็นฟืนเป็นไฟพุ่งวาบเข้ามาในหัวทันที พร้อมกับคำถามที่ว่า...หรือว่าเมื่อคืน...

            “ขอโทษ...ทำไมหรือ” แม้จะคิดเช่นนั้น แต่เจ้าหญิงคนสวยก็ยังฝืนถามออกมาเสียงเบา แก้มใสซีดสีลงทันที จนชายหนุ่มที่ยังไม่ทันได้สังเกตได้แต่เกาท้ายทอยนิดๆ

            “เรื่องเมื่อวานครับ...”

            “ซีวอนไปยุ่งกับใครหรือ”

            “ห้ะ!!!” แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยออกมาจนจบ เจ้าหญิงคนสวยก็โพล่งขึ้นมาทันทีจนดวงตาคู่คมเบิกกว้าง มองเข้าไปในดวงตาคมสวยที่กำลังสั่นน้อยๆ หากแต่ก็มองหน้าเขานิ่ง เรียวปากสีระเรื่อขบเม้มเข้าหากันบ่งบอกว่าเข้าใจผิดไปไกลสุดโลก จนพ่อสุภาพบุรุษคนเก่งได้แต่รีบอธิบาย

            “ไม่ใช่ครับ! ไม่มีทางเลย โธ่ ซิน ผมรักซินยิ่งกว่าอะไร ทำไมผมต้องไปยุ่งกับคนอื่นด้วย”

            “จริงนะ” แววตาที่ช้อนขึ้นมามองทำเอาคนรูปหล่อใจสั่นอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าคมคายก็ยกยิ้มบางๆ ทั้งยังถือวิสาสะเอื้อมไปจับมือเรียวเอาไว้มั่นแล้วกระชับแน่น

            “จริงสิครับ อย่างเชวซีวอนน่ะมีแค่คิมฮีชอลคนเดียวเท่านั้นแหละ”

            “แล้วที่ว่าขอโทษ...” ฮีชอลได้แต่พึมพำแก้เขิน เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายบอกอย่างนี้ ใบหน้าสวยก็เสมองไปทางอื่นที่ทำให้คนพูดพอจะมีกำลังใจมากขึ้นอีกนิด เสียงถอนหายใจจึงดังออกมาเบาๆ

            “ก็เรื่องที่คุณพ่อของดงแฮพูดไงครับ เรื่องที่ผมเคยทำซินร้องไห้ตอนครั้งแรกของเรา พอฟังเมื่อวานแล้วผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่เราเริ่มต้นกันไม่สวยเลย ผมเลยอยากขอโทษ” ซีวอนอธิบายพลางถอนหายใจออกมาอีกเฮือก เมื่อนึกถึงคำพูดของชายวัยกลางคนคนนั้น

            คืนนั้นซินร้องไห้ในตอนที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด

            เรื่องเก่าที่นานมาแล้ว แต่ทำให้คนฟังแก้มแดงซ่านขึ้นมาทันที ก็ใครมันจะลืมเหตุการณ์วันนั้นได้ลงล่ะ แต่ใบหน้าสวยก็ส่ายไปมาช้าๆ แล้วฮีชอลก็ว่าเสียงแผ่ว

            “ขอโทษทำไมกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาน่ะ ซีวอนขอโทษมากี่ครั้งแล้ว อีกอย่างเรื่องวันนั้นน่ะไม่ใช่ความผิดของซีวอนเลยสักนิด” คนสวยบอกเบาๆ ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาน่ะ คนตรงหน้าดูแลเขาดียิ่งกว่าใคร ห่วงใยความรู้สึกของเขายิ่งกว่าคนไหนๆ อย่างที่เขาก็คิดเล่นๆ ไว้เหมือนกันว่าหากเปลี่ยนแปลงคืนวันนั้นได้ เขาจะเปลี่ยนมันหรือเปล่า

            คำตอบเดียวคือ...ไม่คิดเปลี่ยนมันแม้แต่เรื่องเดียว เพราะเรื่องวันนั้นทำให้เขามีผู้ชายคนนี้ในวันนี้ยังไงล่ะ

            “ก็วันนั้นผมทำให้ซินร้องไห้นี่ครับ”

            “แต่วันนี้ซีวอนทำให้ฉันมีความสุขที่สุดนะ” เสียงหวานที่เอ่ยต่อคำทั้งที่คนพูดอายแทบแย่ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหลุดยิ้มออกมากับความน่ารัก ร่างสูงก็ขยับไปชิดร่างบอบบางให้มากขึ้นอีกนิด จากนั้นก็ก้มลงแล้ววางหน้าผากลงบนไหล่บอบบาง

            “เฮ้อ ถ้าอยู่ในบ้านของเรา ผมคงจูบคุณไปแล้วนะซิน” ถ้อยคำที่ฮีชอลแก้มแดงเรื่อ แต่มือเรียวที่ขยับมาจับชายเสื้อของอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจก็กำแน่นขึ้น เขาก็รู้ดีว่าคนรักน่ะตามใจเขาทุกอย่าง แม้กระทั่งการแสดงความรักกลางที่สาธารณะที่เขาได้แต่บ่ายเบี่ยงมาตลอด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว

            ความคิดบางอย่างที่อยู่ในใจมาสักพักก็ผลักดันให้เสียงหวานเอ่ยออกไป

            “ก็...จูบสิ”

            “!!!” ซีวอนถึงกับเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนสวยตรงหน้าทันทีอย่างไม่อยากเชื่อ จนเจอกับแววตาสั่นนิดๆ ของคนเขินอาย

            หมับ

            ฮีชอลตัดสินใจขยับมือจากที่กำเสื้อมากอดรอบเอวสอบเอาไว้แน่นแทน แล้วใบหน้าสวยก็ซบลงที่อกอุ่นอย่างไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายมากนัก เสียงใสก็พึมพำเบาๆ

            “จริงๆ ฉันจะบอกซีวอนมานานแล้วนะ เมื่อก่อนน่ะที่ไม่อยากให้ทำแบบนี้เวลาคนเยอะๆ น่ะไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอกนะ แต่ฉันแค่รู้สึกว่าต้องเป็นตัวอย่างให้น้องๆ แล้วเราก็ยังเรียนอยู่ แต่ตอนนี้น่ะ...” ปลายเสียงแผ่วลงบ่งบอกระดับความเขินอายที่พุ่งสูงปรี๊ดขึ้นเรื่อยๆ

            “...เราเรียนจบแล้ว คบกันอย่างคนโตๆ กันแล้ว ถ้าบางครั้งมันเป็นความต้องการของซีวอน...ก็ทำเถอะ ฉันก็แค่เขินเอง” คำพูดของคุณแม่ประจำชมรมที่ทำเอาคนฟังนิ่งค้างไปทันที ในหัวกำลังคำนวณอย่างเร่งด่วนว่าพวกเขาเรียนจบมากันจะสามปีแล้ว แต่...เพิ่งรู้เรื่องนี้เอาวันนี้

          โอ๊ย นี่กูพลาดโอกาสแสดงความรักกับซินข้างนอกมาสามปีเต็มเลยนะเว้ย ไอ้ซีวอนเอ้ยยยย!

            ความคิดที่ชายหนุ่มที่นึกอยากเอาหัวโหม่งกับฝาเตาอบสักที แต่ฝ่ามือใหญ่ก็รัดรวบเอวบางเอาไว้มั่น อีกมือก็ส่งมาเชยคางเรียวให้เงยขึ้นทันควัน ดวงตาคู่คมวาววับขึ้นมาทันทีอย่างไม่คิดเสียเวลาไปมากกว่านี้

          เอาวะ เสียไปสามปีต่อไปนี้จะบอกคนทั้งโลกเลยว่ารักซินมากแค่ไหน

            แววตาของคนตัวโตที่เจ้าหญิงคนสวยได้แต่สะท้าน ก่อนจะยอมปิดปรือเปลือกตาลงรอรับสัมผัสของคนที่โน้มหน้าเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า เรียวปากสีระเรื่อก็เผยอขึ้นน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว เชิญชวนให้คนที่เมื่อคืนไม่ได้นอนกอดเมียโน้มเข้าไปหมายจะสัมผัสความอ่อนหวานน่ารัก

            แต่แล้ว...

            “ซิน พอดีลูกค้ายะ...อ้ะ!!!

            ฟึ่บ

            หมับ

            อีทึกที่ก้าวเข้ามาหมายจะบอกอะไรกับเพื่อนสักอย่างถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเพื่อนสนิทกำลังจะจูบกับคนรัก แล้วเหมือนว่าเสียงนี้จะทำให้ฮีชอลลืมตาพรึ่บ มือเรียวก็หมายจะดันร่างอีกฝ่ายได้ถอยออกไป แต่เหมือนคนเก็บกดจะไม่ยอม นอกจากจับลำคอระหงไว้มั่นแล้วกดจูบที่เรียวปากหอมหวานเสียแนบแน่น จนนางฟ้าที่มองอยู่รีบตั้งสติ

            “อ่า ตามสบายนะ” ว่าจบ อีทึกก็ก้าวออกไปพร้อมกับหน้าที่แดงก่ำ ปล่อยเพื่อนสนิทที่กำลังจูบกับซีวอนอย่างดูดดื่มแบบนั้น และแน่ล่ะว่าลีลาระดับเทพอย่างเชวซีวอนมีหรือที่คนเขินจะไม่เคลิ้ม

            ว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ซีวอนยอมผละออกนั่นแหละ

            “ต่อไปนี้ ผมจะเอาแต่ใจมากกว่านี้แล้วนะครับ ซิน” หลังจากที่ขยี้ปากคนสวยไปสักพัก คุณชายเชวก็ยอมเงยหน้าขึ้น แล้วเสียงทุ้มก็เอ่ยคำที่ทำเอาร่างบอบบางได้แต่ค้อนให้ทั้งที่ทั้งแก้มทั้งปากแดงเถือกไปหมด ใบหน้าสวยก็เอนซบที่แผ่นอกกว้าง

            “บ้า” คำเดิมที่ไม่ว่ากี่ปีกี่ปีก็หมายถึง...เขินที่ทำให้คนฟังกอดร่างบอบบางไว้แน่น แต่ใครจะรู้เท่าฮีชอลล่ะว่ากำลังกลั้นยิ้มไว้มากแค่ไหน

            ในเมื่อซีวอนตามใจเขามามาก ถ้าต่อจากนี้จะเอาแต่ใจบ้าง...เขาก็เต็มใจ อีกอย่างเรื่องเมื่อวานน่ะก็อยากชดเชยให้อยู่เหมือนกันนี่นะ อ่า คิมฮีชอลคิดเรื่องน่าอายได้ยังไงกัน

            ความคิดของคนสวยที่กอดร่างสูงเอาไว้แน่นแบบนั้นนั่นล่ะ และแน่ล่ะว่าคงไม่มีใครกล้าเข้ามาในครัวอีกนานเลยเชียวล่ะ...

..........................................

         

            ในที่สุด ร้านขนมของสองเพื่อนสนิทก็ต้องปิดเร็วกว่าที่คาดเอาไว้จนได้ ในเมื่อฮีชอลตัดสินใจยอมกลับไปพร้อมกับคนรัก ในอ้อมกอดก็มีกุหลาบแดงช่อใหญ่ จนเหลือเพียงอีทึกที่อาสาจะปิดร้านเอง ดวงตาคู่สวยก็กวาดมองไปรอบร้านที่เขากำลังเก็บกวาดที่อาจจะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็เป็นสิ่งที่เขารักมากเหลือเกิน

            ความคิดของคนสวยที่ตอนนี้อาการกลัวคนแปลกหน้าทุเลาลงจนเกือบจะเป็นปกติ เสียงใสก็ร้องเพลงเบาๆ ยามที่เช็กข้าวของหลังร้านเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็กลับเข้ามาพร้อมกับกับจานใบไม่ใหญ่นักที่แล๊ปพลาสติกใสเอาไว้เรียบร้อยอย่างที่ทำเป็นประจำ

            แน่ล่ะสำหรับใครบางคนที่หัวใจบอกว่ารัก

            จากนั้น คนสวยที่ไม่อยากรอเฉยๆ ทั้งยังไม่อยากโทรเร่งคนรักก็จัดการทำความสะอาดหน้าร้านไปพลาง เสียงใสก็ฮัมเพลงไปพลาง การทำเพื่อสิ่งที่รักที่เหมือนจะทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นาน ท้องฟ้าภายนอกก็เริ่มมืดลงทุกที จนต้องเปิดไฟดวงน้อยเอาไว้ให้ความสว่าง

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            “คังอิน” แต่แล้ว ขณะที่กำลังจะเดินเอาของไปเก็บด้านหลังร้าน เสียงเคาะประตูก็ดังเบาๆ ที่ด้านหน้าให้ใบหน้าเรียวสวยหันไปมอง จนเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองสบายๆ อย่างที่มองก็รู้ว่าคงตรงมาจากที่คอนโดเลยกำลังยืนอยู่ จนรอยยิ้มหวานกว้างขึ้นในทันที

            แอ๊ด

            “ทำไมล็อกประตูแล้วล่ะทึกกี้ ว่าแต่นี่ปิดร้านนานหรือยัง” ทันทีที่ประตูเปิดออก หมียักษ์ตัวโตก็กวาดมองไปรอบๆ ร้านที่เก็บข้าวของไปหมดแล้วบ่งบอกว่าคงเก็บร้านไปพักใหญ่ๆ แล้ว ทั้งที่เมื่อมองนาฬิกาก็พบว่ามันเพิ่งเป็นเวลาปิดร้านเท่านั้น

            “ปิดมาสองชั่วโมงแล้วล่ะ พอดีว่าซินกลับไปก่อนน่ะ ของหมดก็เลยต้องปิดร้านเร็ว ทำคนเดียวก็ไม่ไหว” อีทึกบอกด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ยามที่ดันประตูปิดตามเดิม แต่เหมือนว่าคำนี้จะทำเอาคนตัวโตขมวดคิ้วฉับ ร่างสูงก็หันกลับมามองคนรัก

            หมับ

            “แล้วทำไมไม่โทรมาบอกล่ะทึกกี้ อยู่คนเดียวแบบนี้มันอันตรายนะ อย่างน้อยโทรเรียกฉันมาอยู่ด้วยก็ได้” คังอินดึงร่างบางมากอดเอาไว้เสียแนบแน่น จนแก้มใสแดงระเรื่อขึ้นมาทีละน้อย ในเมื่อแม้ว่าเสียงทุ้มจะดูห้วนๆ ตามประสาคนอารมณ์ร้อน แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนน่ะ...ความเป็นห่วง

            คนตัวโตที่ห่วงใยเขาเสมอ

            “ก็ได้ข่าวว่านายไปดื่มมาเมื่อคืนนี่นา เลยอยากให้พักมากๆ แล้วค่อยมารับก็ได้” อีทึกบอกอย่างใจเย็น ดวงตาคู่สวยที่คนตัวโตสยบแทบเท้ามาแล้วก็สบเข้ากับดวงตาคู่คมนิ่ง มือเรียวยกขึ้นลูบท่อนแขนแกร่งเบาๆ อย่างที่ทำให้คนอารมณ์ร้อนเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ

            “ตื่นตั้งแต่เมื่อเที่ยงแล้วล่ะ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะมาอยู่ด้วยตั้งแต่เที่ยง แต่หนที่แล้วที่ฉันมาช่วยเธอเหมือนจะทำให้เธอวุ่นมากกว่าเดิม เลยนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านจนถึงเวลาปิดร้านเนี่ยล่ะ” คังอินบอกพลางถอนหายใจเบาๆ นึกไปถึงตอนที่ว่างเลยอยากลองมาช่วยงานคนตาสวยสักที แต่สรุปแล้ว...วินาศสันตะโร

            ก็เขามันคนอารมณ์ร้อนจะให้เสิร์ฟลูกค้าอย่างใจเย็น พูดดีๆ กับคนหาเรื่องน่ะมันทำไม่ได้หรอก ยิ่งเรื่องในครัวตัดทิ้งไปได้เลย กินเป็นอย่างเดียวเท่านั้นแหละ แล้วพอจะให้มานั่งเฉยๆ ในร้านก็เหมือนว่าจะกินที่ลูกค้าเสียเปล่าๆ อีกทั้งใครที่บังอาจมาส่งรอยยิ้มให้คนรัก เขาก็มองมันตาขวางจนลูกค้าหาย สุดท้าย คังอินก็เลยตัดสินว่าเขาควรมาตอนที่ปิดร้านไร้ลูกค้าจะช่วยคนรักได้มากกว่าอย่างอื่น

            คำพูดที่คนฟังอดจะยิ้มไม่ได้ ก็พูดไปพูดมาก็หมายความว่าเจ้าตัวห่วงเขาอยู่ดีนั่นแหละ

            “คังอิน...”

            “หืม”

            จุ๊บ

            ชายหนุ่มก้มลงมาสบตาคนรักทันทีที่เอ่ยเรียก แล้วก็ต้องอึ้งไปนิด เมื่อร่างบอบางขยับมากดจูบที่ริมฝีปากได้รูปเบาๆ ทั้งยังยิ้มให้เขาอย่างน่ารัก

            “ขอโทษนะเรื่องเมื่อวานน่ะ ฉันพอจะรู้จากมินมินแล้วว่าเจ้าตัวส่งข้อความไปว่าแค่ฉันไม่กลับบ้าน ฉันไม่รู้นี่นาว่าน้องจะแกล้งเล่นน่ะ ไม่งั้นคงโทรไปบอกเองแล้ว” อีทึกบอกเสียงหวาน มือเรียวก็ขยับมากอดเอวสอบเอาไว้ ทั้งยังช้อนตาขึ้นมองคนรักให้คนที่ไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ยิ้มออกมาจนได้

            ยอมรับว่าไม่พอใจอยู่ แต่พอเห็นนางฟ้าของเขายิ้มได้ แค่นี้ก็ไม่เห็นเป็นไร

            หมับ

            “ไม่เป็นไรหรอก ดีซะอีกได้ไปกินเหล้ากับไอ้พวกนั้น ไม่ได้เจอกันครบคนแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน” คังอินส่งมือมาลูบแก้มใสเบาๆ บอกปัดให้อีกฝ่ายสบายใจ จนอีทึกยิ้มน้อยๆ ก็คบกันมาตั้งหลายปี ทำไมจะไม่รู้นิสัยคนๆ นี้ดีล่ะ

            คังอินน่ะ...เอาใจใส่เขาที่สุดนั่นแหละ แล้วมันก็ทำให้ความคิดหนึ่งสว่างวาบเข้ามาในหัว...เรื่องที่คุยกับเพื่อนและน้องๆ เมื่อคืน

          บางทีก็อยากตอบแทนความเอาใจใส่ไม่ต่างกันหรอกนะ

            “งั้นนั่งรอนี่แป๊บนึงนะ ขอเอาของไปเก็บก่อนแล้วค่อยกลับบ้านกัน...อ้อ คังอิน ฉันทำของว่างไว้ให้ ไม่รู้ว่าวันนี้ได้กินอะไรหรือยังน่ะ” อีทึกบอกพลางดึงมือคนรักให้ก้าวเข้ามานั่ง แล้วผละไปยกจานของว่างที่แล๊ปไว้อย่างดีมาวางตรงหน้า ดวงตาคู่สวยพราวระยับอย่างรู้ดีว่าเวลาเขาไม่อยู่บ้านทีไร คนแถวนี้ก็อย่าหวังเลยว่าจะทำอะไรทานเอง อย่างมากก็สั่งจากร้านด้านล่างคอนโด หรืออีกทีก็ไม่ทานมันซะเลย

            มันอาจจะเป็นความเคยชินแล้วนี่นะ เขาทำ...แล้วคังอินก็ทาน

            การกระทำแฝงความนัยที่อาจจะมีเพียงพวกเขาสองคนที่รู้กันดี อาหารคือความรัก ก็เหมือนได้บอกรักกันทุกวันโดยไม่ต้องเอ่ยปากออกมา และแน่ล่ะว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไร หมียักษ์ตัวโตก็ไม่เคยให้เหลือเลยสักครั้งอย่างที่สัญญาเอาไว้ในอดีตว่าจะไม่ปล่อยความรักของเขาให้เสียไป

            “ขอบคุณ จะไม่ให้เหลือเลย” คังอินบอกด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น มองร่างบอบบางที่หายลับเข้าหลังร้านไปพร้อมกับของในมือ ก่อนจะหันมาจัดการของว่างรองท้องอย่างชอบใจในรสชาติ ดวงตาคู่คมก็มองผู้คนมากมายที่เร่งรีบกลับจากการทำงานในวันเสาร์

            พรึ่บ

            “หืม” แต่แล้ว ชายหนุ่มก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเหนือหัว เมื่อหลอดไฟที่เปิดเอาไว้ดับลง ร่างสูงก็ผุดลุกขึ้นทันทีหมายจะเข้าไปหาคนที่ก้าวเข้าไปหลังร้าน

            “ทึกกี้!!

            “ไม่เป็นไร สงสัยไฟตกน่ะ ยังมองเห็น ไม่ต้องเข้ามาหรอก” ทันทีที่ร้องตะโกนเข้าไป อีทึกก็ตอบกลับมาอย่างที่ทำให้คนตัวโตเบาใจจนนั่งลงอีกครั้ง ในเมื่อร้านก็ไม่ได้ใหญ่โต อีทึกก็บอกเขาหลายทีแล้วว่าปิดตาเดินยังรู้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน เขาไม่ควรจะห่วงมากเกินไป...ทั้งที่ใจ...แล่นตามเข้าไปหาแล้วล่ะ

            ความคิดของคนตัวโตที่ส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาคู่คมก็มองกลับไปยังหน้าร้านอีกครั้ง เพิ่งสังเกตวันนี้เหมือนกันว่ากระจกในร้านมันเป็นสีชาแบบที่ไม่น่าจะมองเข้ามาเห็น ยิ่งปิดไฟสนิทขนาดนี้...

            หมับ

            “หืม ทึกกี้” แต่แล้ว ความคิดของคนตัวโตก็สะดุดลง เมื่อท่อนแขนเล็กๆ กอดรอบไหล่กว้าง แล้วใบหน้าเรียวสวยก็เอนซบลงที่ไหล่ แก้มใสเหมือนจะแดงขึ้น ดวงตาคู่สวยก็มองมาอย่างตัดสินใจอะไรบางอย่าง

            “มีอะไรหรือ” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่มลง มือใหญ่ก็ลูบท่อนแขนกลมกลึงที่กอดเขาเอาไว้อย่างแสนรัก ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะขยับไปกดปลายจมูกลงบนแก้มนิ่มเบาๆ ให้คนตาสวยอมยิ้มน้อยๆ เรื่องเดิมวิ่งกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

            เรื่องสถานที่แปลกที่คุยกัน....ร้านของเขาเอง

          ก็แค่...อยากเอาใจบ้างเท่านั้นเอง

            “นี่คังอินรู้หรือเปล่า...กระจกร้านฉันน่ะเวลาปิดไฟแล้วมืดสนิทแบบนี้คนข้างนอกมองมาไม่เห็นหรอกนะ” เสียงหวานเอ่ยช้าๆ เรียบเรื่อยเหมือนเล่าเรื่องทั่วไปให้ฟัง จนคนฟังฉุกใจคิดตาม สมองด้านจินตนาการคิดอะไรบางอย่างออกมาแล้ว ทว่าด้วยความที่คนรักไม่ใช่คนแบบที่จะเชิญชวนก่อน ดวงตาคู่คมถึงนิ่งฟังอย่างตั้งใจ

          “แล้ว...คังอินอยากลองหรือเปล่าล่ะ”

            “!!!

            คำถามที่ทำเอาดวงตาคู่คมเบิกกว้าง ร่างสูงหมุนเก้าอี้มามองคนที่กลับไปยืดตัวตรงตามเดิม แก้มใสเหมือนจะแดงก่ำอย่างเขินไม่น้อย แต่ก็ยอมขยับมานั่งตักแต่โดยดีเมื่อคังอินดึงแขนเบาๆ

            “ทำไมอยู่ๆ ถึงถามล่ะ” คำถามที่คนฟังขยับหน้ามาซบที่ไหล่แกร่งแล้วก็บอกเสียงเบา

            “อืม...อยากเอาใจน่ะ แล้วก็ขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วย...” อีทึกบอกอย่างน่ารักที่ทำเอาคนตัวโตที่เอาใจใส่ความรู้สึกของคนๆ นี้มากที่สุดอารมณ์ขึ้นง่ายๆ สาเหตุหลายอย่างที่เขาแทบจะไม่มีอะไรที่แปลกๆ เลยก็เพราะไม่อยากให้อีทึกกลับไปกลัวเขาเหมือนวันแรกที่เจอกัน ไม่อยากให้อีทึกรู้สึกไม่ดี ทั้งที่เขาเองก็ยอมรับว่าบางทีมันก็แอบคิดเอาไว้บ้าง

            แต่ในเมื่อครั้งนี้เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา ชายหนุ่มก็เลยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

            “แน่ใจนะทึกกี้ ไม่กลัวหรือ” คำถามที่อีทึกส่ายหน้าทันที แล้วแย้มยิ้มหวานที่สุดส่งให้คนรัก มือเรียวก็คล้องลำคอแกร่งเอาไว้มั่น

            “ฉันน่ะรู้อย่างนึงนะคังอิน เวลาที่ฉันอยู่ในอ้อมกอดของนายน่ะ ฉันจะไม่มีวันกลัวอะไรทั้งนั้น ฉันรู้ว่าคังอินจะไม่มีทางทำให้ฉันเจ็บ ไม่มีทางทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี...ใช่มั้ย” อีทึกบอกความในใจออกมา เบาทว่าก็หนักแน่นที่สุดอย่างเชื่อมั่นว่าคนอารมณ์ร้อนในสายตาคนอื่นน่ะ จริงๆ แล้วอ่อนโยนกับเขามากแค่ไหน

            คำที่คนฟังยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีกับความมั่นใจของร่างบอบบาง มือใหญ่ก็ขยับสอดรัดรอบเอวบางแน่น

            “งั้นฉันก็รู้อย่างนึงเหมือนกันนะทึกกี้” อีทึกได้แต่มองอย่างตั้งใจ เมื่อคนรักกำลังแนบหน้าผากชิดกับหน้าผากของเขา ดวงตาคู่คมก็ฉายชัดถึงความรักที่มอบให้จนใจดวงน้อยสั่นสะท้าน แล้วเสียงทุ้มก็เอ่ยคำที่หนักแน่นที่สุด

            “ฉันรู้ว่าฉันรักเธอที่สุด”

            ว่าจบ จูบที่แสนอบอุ่นก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเนิบช้า อ่อนหวานและเร่าร้อนที่สุด หลอมละลายราชินีน้ำแข็งของคนทั้งมหาวิยาลัยให้เหลือเพียงนางฟ้าคนสวยในอ้อมกอดของคนอารมณ์ร้อนเท่านั้น

            และถ้าคังอินเปิดโอกาสให้อีทึกได้พูดต่อจากนั้น ร่างบอบบางก็คงบอกว่า

            งั้นฉันก็รู้อีกอย่างนึงนะคังอิน...ฉันก็รักคังอินที่สุดเหมือนกัน


....................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น