วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Special CL_15 กรรมตามสนอง

Special CL_15 กรรมตามสนอง



          แสงแดดจัดจ้ายามเที่ยงวันส่องลงมาสร้างความร้อนให้กับพื้นดินด้านล่างจนไม่ว่าจะสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็พากันเดินเข้าไปหลบใต้อาคาร ในเมื่อมันทั้งร้อน ทั้งอบอ้าว และคงไม่มีคนบ้าที่ไหนมานั่งตากแดดในเวลาเช่นนี้เป็นแน่ แต่ในเมื่อโลกของเราก็ไม่ได้มีเพียงคนปกติ แถวนี้จึงมีคนบ้าอยู่หนึ่งคน

            ในขณะที่คนอื่นหลบแสง ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังทำตัวเป็นคนบ้า...นั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้หน้าห้องชมรมแห่งหนึ่งอย่างไม่หวั่นว่าจะเป็นลมแดดตายไปก่อน และคนๆ นั้นคือ...เชวโจวมี่ ลูกพี่ลูกน้องสุดหล่อของเชวซีวอน คนที่ยามนี้ดำรงตำแหน่ง...ประธานสภานักศึกษา

            ภาพที่เหล่านักศึกษาเดินผ่านไปผ่านมาจนอดไม่ได้จะมองหนุ่มหล่อ มาดเท่ ที่ชอบยิ้มมีความหมาย หากแต่เวลานี้ดวงตาคู่คมกลับร้อนจัดไม่แพ้แสงแดดเลยทีเดียว ในเมื่อ...

            แอ๊ดดด

            “นะครับพี่เฮนรี่ ไปด้วยกันเถอะนะครับ ทุกคนไปกันหมดเลยนะ”

            “นะครับคนสวย ไปกับพวกเราเถอะ น่าสนุกจะตาย”

            “ถ้าเฮนรี่ไม่ไปสงสัยงานจะกร่อยเลยนะ”

            ในที่สุด บานประตูไม้สีเข้มที่โจวมี่รออยู่นานก็เปิดกว้างออก ขณะที่ชายหนุ่มร่างอวบน้อยๆ เจ้าของผิวขาวๆ และดวงตากลมใสแจ๋วก็ก้าวออกมาพร้อมกับกล่องใส่ไวโอลินคู่ใจ ล้อมรอบด้วยชายหนุ่มรุ่นน้องรุ่นเพื่อนหลายคนที่กำลังหว่านล้อมอะไรบางอย่าง และนั่นทำให้คนอารมณ์เย็นยิ่งเดือดพล่าน

            “เฮนรี่!!!

            เฮือก!

            บรรดาชายหนุ่มหลายคนที่ยืนล้อมรอบร่างเล็กถึงกับสะดุ้ง เมื่อเพียงเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับท่านประธานรูปหล่อที่กำลังตาวาววับ จ้องมองมาให้ขาแต่ละคนเผลอขยับก้าวถอยหลังไป ผิดกับร่างอวบน้อยๆ ที่เกือบจะยกยิ้มขำ

            “มารอนานแล้วหรือ โจวมี่...อ่า ขอโทษทุกคนด้วยนะ พี่คงไปไม่ได้น่ะ เขามารับแล้ว” เฮนรี่หันไปบอกคนในชมรม ก่อนจะหันไปมองคนมารับด้วยรอยยิ้มน่ารัก คำที่ทำให้คนฟังรีบพยักหน้าเร็วๆ แล้วก้าวถอยไปอีกทาง เพราะแม้ว่าประธานนักศึกษาคนปัจจุบันจะไม่ได้เย็นชา โหดเหี้ยม หรือน่ากลัวเท่าคนเมื่อสามปีก่อน แต่อำนาจของคนๆ นี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ ยิ่งเวลาปกติชายหนุ่มเป็นคนอารมณ์ดีแบบที่เข้าถึงตัวง่ายกว่ารุ่นพี่คนสนิทด้วยแล้ว

            เวลาที่เสียงเข้มขนาดนี้...ตัวใครตัวมันจะดีกว่า

            เฮนรี่อมยิ้มน้อยๆ ยามที่ก้าวไปหาคนรักรูปหล่อ แล้วเหลือบมองท้องฟ้าเพียงนิด เมื่ออากาศร้อนขนาดนี้ แต่คนตัวสูงก็ไม่ยักกะหาที่หลบ จนต้องก้าวไปดึงมือใหญ่ให้เดินก้าวไปอีกทางที่เป็นตัวอาคาร ทั้งที่อีกฝ่ายยังจ้องมองเพื่อนร่วมชมรมของเขาตาเขม็ง

            “เดี๋ยวนี้ชอบทำหน้าตาน่ากลัวอยู่เรื่อยเลย”

            “ก็ปล่อยให้มันจีบทำไมล่ะ” ชายหนุ่มโต้ตอบทันที พลางก้มลงมองคนตัวขาวที่ยู่ปากกลมๆ แล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ แก้มใสแดงระเรื่อขึ้นมานิด

            “ไม่ได้ให้ใครจีบสักหน่อย”

            ตั้งแต่รู้ตัวว่าเป็นเคะก็รักก็ชอบอยู่คนเดียวนั่นแหละ...ก็คนที่พิสูจน์เขาจนรู้คนนี้ไง

            ท่าทางน่ารักของคนไร้เดียงสาตรงหน้า ทำให้โจวมี่อดไม่ได้จะยกมือขึ้นโอบไหล่บางแล้วดึงเข้ามากอดเอาไว้ ใบหน้าคมคายซบลงที่กลุ่มผมนุ่ม สูดดมความหอมหวานเข้าเต็มปอด พลางนึกถึงคำของญาติผู้พี่

          ทีเมื่อก่อนล่ะแกล้งไม่สนใจเขา เป็นไงล่ะ พอเขาเสน่ห์แรงก็ตามหวงเหมือนหมาหวงก้าง น่าสงสารว่ะน้องชาย...

            โจวมี่คิดพลางถอนหายใจแรงๆ แต่ทำให้คนตัวเล็กที่เกือบจะร้องอย่างตกใจเพราะถูกกอดชะงักไปเพียงครู่ เมื่อรู้สึกว่าผิวกายของคนตัวโตร้อนจัดจนต้องรีบแหงนหน้ามอง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง

            “นี่มานั่งรอฉันตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ” คำถามที่โจวมี่เพียงแค่ยักไหล่ ดวงตาคู่คมที่ลึกลับน่าค้นหาก็มองร่างน้อยนิ่งอยู่แบบนั้น จนคนถามต้องเป็นฝ่ายยื่นมือขึ้นไปลูบกลุ่มผมสีเข้มของคนรักเบาๆ แล้วสัมผัสว่ามันร้อนจี๋จนต้องกัดปากน้อยๆ

            ร้อนขนาดนี้ต้องนั่งมานานแล้วแน่ๆ

            “ทำไมมานั่งรอตรงนั้นล่ะ นี่มันเที่ยงวันนะ...”

            “ก็ตรงนั้นมองเห็นเวลาเธอออกจากห้องชมรมชัดเจนที่สุดนี่”

            กึก

            คำตอบที่เฮนรี่นิ่งอึ้งไปทันที ผิวแก้มขึ้นสีระเรื่อ คำพูดที่จะเอ่ยด้วยความเป็นห่วงหายลับเข้าไปในลำคอ ใบหน้าสวยก้มงุด มือเรียวที่จับผมอีกฝ่ายไว้ก็ลดมือลง ยามที่รู้สึกถึงแรงยื้อของคนรักที่ถือกล่องไวโอลินให้ เสียงใสก็พึมพำเบาๆ

            “ก็เข้าไปรอในห้องก็ได้”

            “แล้วเธอก็มาบ่นอุบอิบว่าคนในชมรมไม่มีใครมีสมาธิซ้อมน่ะหรือ หืม แม่คนไร้เดียงสาของฉัน” โจวมี่ส่ายหน้าอย่างขำๆ แล้วก้มลงไปกดปลายจมูกที่แก้มนุ่มแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยวกับความน่ารัก รู้แหละว่าถ้าเขาจะเข้าไปนั่งตีหน้าตาย มองคนรักในห้องชมรม ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้ามายุ่งหรอก เพียงแต่ว่า...ดันใจอ่อนกับลิ้นจี่แก้มแดงตรงหน้าเนี่ยล่ะ

            คำพูดที่บ่งบอกว่าเอาใจใส่กันมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ ทำให้ร่างน้อยได้แต่อ้ำอึ้ง แต่มือเล็กก็ขยับไปกำชายเสื้อของโจวมี่ไว้แล้วก็พึมพำเบาๆ

            “ก็เป็นห่วงนี่นา” คนฟังได้แต่ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที ดวงตาคู่คมวาววับยามที่ก้มลงไปกดจูบที่ขมับบางอีกครั้ง แล้วพาเดินไปด้วยกันอีกทาง เสียงทุ้มก็ว่าเรื่อยๆ

            “ถ้าไม่อยากให้ฉันมานั่งกลางแดดก็กลับไปอยู่ชมรมคหกรรมสิ มีที่นั่งก็เยอะ..” แถมไม่มีไอ้พวกมดปลวกที่อยากแทะลิ้นจี่เล่นด้วย

            เฮนรี่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ เมื่อแฟนตัวเองพูดเรื่องนี้อีกแล้ว ก็ตั้งแต่เมื่อปีก่อน หลังจากที่พวกรุ่นพี่ดั้งเดิมของชมรมคหกรรมจบไปหมด เขาก็รู้สึกอยากเข้าชมรมที่อยากเข้ามาตั้งแต่ต้น แม้ว่าทุกวันนี้ซันนี่จะยังอยู่ที่คหกรรมก็เถอะ แต่เขาก็ขอลาออกมาสมัครเป็นสมาชิกของชมรมออเครสตร้าได้สามเดือนแล้ว

            และทุกครั้งที่มีโอกาส คนตัวสูงแสนเจ้าเล่ห์คนนี้ก็ชอบบอกให้เขากลับไปเข้าชมรมเดิมเสียเรื่อยเลย

            “ก็...อยากเล่นไวโอลินนี่นา ไม่ใช่ว่าชมรมคหกรรมไม่ดีนะ ที่นั่นก็สนุก ได้ทำอาหารหลากหลายด้วย แต่ฉัน...ก็อยากเล่นไวโอลินนี่นา” เฮนรี่กำชายเสื้อคนฟังแล้วกระตุกเบาๆ ราวกับอ้อน เสียงใสก็เอ่ยอธิบายเหมือนเช่นทุกที จนทำให้คนฟัง...ใจอ่อนเหมือนอย่างทุกที

            ก็เล่นทำตาเหมือนจะร้องไห้ถ้าเขาไม่ยอมเนี่ยน่ะสิ

            “งั้นเล่นให้ฉันฟังคนเดียวก็ได้...” โจวมี่ว่าง่ายๆ พลางก้มลงไปสบตา แล้วคนเจ้าเล่ห์ก็บอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อร่างเล็กมองมา

            “...เอาแบบไม่ใส่เสื้อผ้านะ มีไวโอลินตัวเดียวพอ”

            “โจวมี่!! พูดอย่างนี้อีกแล้วนะ” เฮนรี่ถึงกับหน้าแดงก่ำ ในเมื่อคบกับคนมากเล่ห์ทั้งยังหลายหน้ามาตั้งแต่ปีหนึ่งจนตอนนี้อยู่ปีสี่แล้ว อะไรหลายๆ อย่างเขาก็เลยรู้ แล้วก็รู้ด้วยน่ะสิว่าเล่นไวโอลินให้คนรักฟังทีไร ไม่เคยจบที่นั่งฟังดีๆ ทุกที แถมคนๆ นี้ยังบอกชัดเจนจนเขายังต้องแอบคิดเลยว่ามันจริงหรือ

          เวลาเธอเล่นเซ็กซี่จะตาย หลับตาพริ้ม เม้มปากน้อยๆ...หึๆ

            ตั้งแต่นั้นมา ถ้าเลี่ยงได้ เขาขอเลี่ยงไม่เล่นให้คนรักฟังจะดีกว่า

            ท่าทางแก้มแดงจัดของคนที่ก้มหน้างุดๆ ทำให้คนมองหลุดหัวเราะ แล้วลูบผมนิ่มเบาๆ จากนั้น คนตัวสูงที่รู้ตัวว่าแพ้ทางคนซื่อก็เลยจัดการพาเดินไปยังที่จอดรถวีไอพีเพื่อพาร่างน้อยออกไปทานข้าวเที่ยงกันข้างนอก อย่างรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีตารางเรียน และเขาก็ไม่ใช่พี่คิบอม งานอะไรที่โยนได้...ก็โยนให้คนในสภาช่วยๆ กันทำไปนั่นแหละ

            “วันนี้ฉันตากแดดรอเธอตั้งนาน...” เสียงทุ้มเริ่มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา จนคนฟังเริ่มหวาดๆ ได้แต่ช้อนตาขึ้นมองอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะเจอกับรอยยิ้มมุมปากที่เลียนแบบรุ่นพี่เสียเหมือนเป๊ะ

            “มาพิสูจน์กันทั้งคืนเลยนะเฮนรี่”

            ฉ่า

            เสียงทุ้มที่กระซิบริมหู ทำให้คนฟังแก้มร้อนผ่าว เมื่อคำว่าพิสูจน์ของพวกเขาน่ะมันหมายถึงเรื่องเดียว พิสูจน์การเป็นเคะ ก็หมายถึงเขาต้องยอมคนตัวโตยังไงล่ะ หากแต่คนที่ไม่ค่อยปฏิเสธใครก็ได้แต่กดหน้าช้าๆ อย่างขัดเขิน

            “อื้ม” คำตอบรับที่โจวมี่ยิ้มกว้าง ทั้งที่ในใจกำลังคิดอยู่ว่าทำยังไงให้ไอ้พวกคนในชมรมเลิกพันแข้งพันขาเฮนรี่เสียที

            นึกอยากเกิดเป็นคิมคิบอมและหานฮันคยองก็วันนี้เนี่ยล่ะ!

...................................................

           

            ภายในคอนโดหรูซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยดัง คนตัวเล็กผิวขาวจัดเจ้าของหน้าตาน่ารักและปากแดงๆ กำลังนอนหอบหายใจน้อยๆ อยู่บนเตียง หลังจากเจอแฟนหนุ่มสุดหล่อขอพิสูจน์เสียหลายท่า เวลานี้เจ้าตัวเลยทำได้เพียงหลับตานิ่งๆ นอนอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวโตที่โน้มมาหอมแก้มนุ่มหลายๆ ที

            “หึๆ เหนื่อยแล้วหรือไง”

            “อื้ม ง่วงจังเลยโจวมี่” คนตัวเล็กปรือตาที่ฉ่ำน้ำน้อยๆ ขึ้นมามองร่างสูง ปากที่แดงจัดเพราะฤทธิ์จูบก็คลี่ยิ้มน้อยๆ แบบที่ไม่เคยรู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มแบบนี้ของตัวเอง ทำให้ใครบางคนอยู่ไม่สุขเสมอ มือใหญ่ที่โอบเข้าที่เอวนุ่มเลยเริ่มเลื้อยเข้าไปยุ่มย่ามแถวสะโพกกลม

          เล่นทำตาใสแบบนี้ ท่าทางจะปล่อยให้นอนยากนะแม่คนไร้เดียงสา

            ความคิดเจ้าเล่ห์ของคนที่กำลังยกยิ้มอบอุ่น หากแต่ใครมองเข้าไปในดวงตาคู่คมจะพบว่ามันสุดแสนจะเจ้าเล่ห์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มือใหญ่ก็ล้วงลึกเข้าไปเรื่อยๆ อย่างระวังไม่ให้คนเหนื่อยจับได้เสียก่อน ใบหน้าคมคายก็ขยับไปแตะที่ขมับบางเบาๆ

            การกระทำแสนอ่อนโยนของพ่อหนุ่มตัวสูงที่ทำเอาแก้มขาวแดงระเรื่อ ร่างเล็กก็ทำท่าจะพลิกเข้ามาซุกเข้าหาอ้อมกอดแข็งแกร่งและ...ลงล็อกโจวมี่พอดิบพอดี

            “อ้ะ จะ...โจวมี่”

            “ครับผม” โจวมี่ยิ้มกว้าง ทั้งยังหัวเราะเบาๆ เมื่อลิ้นจี่ในอ้อมกอดกำลังร้องเสียงหลง ร่างเล็กทำท่าจะขยับหนี แต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อเขากำลังสอดมือเข้าใต้เรียวขาขาวให้เฮนรี่แก้มแดงก่ำ เริ่มรับรู้สัญญาณอันตราย เมื่อคนจับไม่จับอย่างเดียวเนี่ยสิ

            “ท่าทางห้ามตอนนี้จะไม่ทันแล้วล่ะ เฮนรี่” ไม่เพียงแค่การกระทำ ใบหน้าคมคายก็ขยับมากระซิบริมหู ให้เฮนรี่หน้าแดงหูแดง รู้ตัวล่ะว่าสุดท้ายเขาก็ใจอ่อนตามใจคนตรงหน้าอยู่ดี ยิ่งทำหน้าแบบนี้ ทำตาแบบนี้ต้องการแบบนี้...ทางรอดแทบไม่มีเหลือเลยล่ะ

            อีกทั้ง...ยังแอบเห็นอะไรแวบๆ ที่ไม่น่าจะหลับลงได้แล้วด้วย

          แต่เหนื่อยแล้วนี่นา

            ความคิดของร่างอวบน้อยๆ ที่ช้อนตาขึ้น ทำท่าจะเอ่ยห้ามคนรัก แต่ก็นั่นแหละ คนตัวเล็กก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสายตาแบบนี้ ทำหน้าแบบนี้ แทนที่จะหยุด เห็นทีจะเพิ่มรอบเพิ่มแรงเสียมากกว่า

            “จะฟ้องพี่ซีวอนจริงๆ ด้วย” คำขู่ที่ฟังดูน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่า เมื่อคนตัวเล็กจะฟ้องพี่ชายแฟนแบบนี้ และทำให้คนฟังหัวเราะในลำคอ ใบหน้าคมคายก็ขยับมาซุกเข้าที่ผิวเนื้อขาวผ่องอย่างรวดเร็ว

            “ก็ฟ้องสิ แต่เอาไว้หลังคืนนี้นะ”

            “อื้อ...โจวมี่...”

            RRRRRRRRRRRrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

            พลั่ก!!!!

            เสียงใสเริ่มครางชื่อคนรักเบาๆ และมือเรียวก็โอบรอบลำคอแกร่งอย่างที่ทำให้โจวมี่ยิ่งได้ใจ รู้แหละว่าคนตัวเล็กมีจุดอ่อนตรงไหน ไม่เกินสามจูบยอมตามใจเขาแน่ๆ ทว่าความตั้งใจของท่านประธานสภานักศึกษาที่อยากกดเมียเป็นอันพังครืน เมื่อเสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงส่งเสียงดังลั่น ให้คนเคลิ้มออกแรงผลักแผ่นอกกว้างเสียเต็มแรง

          ใครวะ!

            โจวมี่คำรามในใจ ยามที่ยังทิ้งตัวนอนทับร่างเล็กอยู่แบบนี้ มือใหญ่กอดเอวนุ่มเอาไว้มั่น ใบหน้าคมคายก็ฝังลงที่ซอกคอหอมๆ ไม่ยอมขยับตามแรงดันจนร่างน้อยต้องบอกเสียงอ่อนอ่อย

            “โจวมี่ ขอรับสายนะ...”

            “ไม่ให้รับ” แล้วพ่อคนมากเล่ห์ก็ออกอาการเอาแต่ใจด้วยการกอดร่างนุ่มแน่นขึ้น ไม่มีผงกหัวให้เฮนรี่ใจชื้นเลยสักนิด ดวงตากลมก็เหลือบมองโทรศัพท์ที่ยังส่งเสียงไม่มีหยุดด้วยท่าทางน่าสงสาร เสียงใสก็เลยยิ่งอ่อนอ่อยลงอีกนิด

            “โจวมี่...” เสียงหวานที่ดังคล้ายอ้อน ทำให้คนที่ได้ชื่อว่าทั้งเจ้าเล่ห์ไม่ผิดรุ่นพี่ แพรวพราวก็ไม่ผิดรุ่นพี่ แถมออฟชั่นพิเศษด้วยการเล่นละครเก่งขั้นเทพให้ใครๆ ทำตามคำพูดง่ายๆ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมดันร่างขึ้นเพื่อก้มลงสบกับดวงตากลมโต

            “ขอรับโทรศัพท์นะ...ได้มั้ย เผื่อมีเรื่องสำคัญ” ร่างเล็กบอกพลางกระพริบตาปริบๆ อีกหลายที และนั่นทำให้คนมอง...ใจอ่อนเหมือนทุกครั้ง

          ให้ตายเถอะ เมื่อก่อนก็ใช้ตากลมๆ ที่มองเขาอย่างตัดพ้อทุกครั้งที่นึกว่าเขาไม่รักจนอดแกล้งไม่ได้ เดี๋ยวนี้ยังใช้ตากลมๆ มาอ้อนให้เขาใจอ่อนผิดกับเชวโจวมี่คนเดิมเสียอีก

            “เฮ้อ ไปรับสิ” สุดท้าย ร่างสูงก็ยอมผละไปนอนแผ่ที่นอนฝั่งตัวเอง ปล่อยคนน่ารักแก้มแดงในอ้อมกอดให้ร่างน้อยยิ้มหวาน ใบหน้าน่ารักก็ขยับมาหอมแก้มสากแรงๆ อย่างเอาใจ

            “ขอบคุณนะ” ท่าทางที่ชายหนุ่มเหลือบมามองเพียงนิด นึกอยากกระชากร่างเล็กมาฟัดแก้มให้หายอยาก ตั้งแต่บอกรักกันเมื่อสี่ปีก่อนโน้น คนไร้เดียงสาของเขาก็น่ารักขึ้นทุกวันจนต้องตามหวงอย่างนี้ไงล่ะ และเพราะน่ารักขึ้นทุกวันก็เลย...ยิ่งรักมากขึ้นเช่นกัน

            ในขณะที่เฮนรี่ก็รีบผละจากเตียงอย่างรวดเร็ว คว้าเสื้อคลุมอาบน้ำที่ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาสวมลวกๆ หันหลังให้กับชายหนุ่มที่จ้องมาตาวาววับ แล้วฉวยโทรศัพท์ที่ดับแล้วก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สามขึ้นมา ชื่อที่คุ้นเคยทำให้รอยยิ้มหวานแย้มช้าๆ

            “มุนอี มีอะไรหรือเปล่า”

            กึก

            ทันทีที่ชื่อนี้หลุดจากปากของร่างเล็ก โจวมี่ก็แทบจะเด้งพรวดขึ้นมานั่ง ดวงตาคู่คมหรี่มองแผ่นหลังเล็กของคนที่ขยับไปยืนพิงประตูระเบียง ใบหน้าขาวระบายยิ้มจางๆ เสียงใสก็คุยโทรศัพท์เจื้อยแจ้วอย่างไม่ไว้ใจ แล้วที่ไม่ไว้ใจน่ะไม่ใช่คนตัวเล็ก...แต่อีกฝ่ายเนี่ยสิ

            ถ้าหากว่าเฮนรี่มีมดปลวกมาตอมมาแทะเยอะเสียจนเขี่ยออกไม่หมด ไอ้พวกนั้นก็เป็นได้แค่แมลงเมื่อเทียบกับหญิงสาวเจ้าของตำแหน่งนักเปียโนของวง...ชามุนอี

            หญิงสาวตัวเล็กที่ดันตัวเล็กกว่าเฮนรี่ของเขา คนที่มีหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา แขนขาเรียวสวยอย่างที่หากเดินกับคนรักของเขามันก็ยังดูเหมาะสมกันไม่น้อย จนโจวมี่โคตรของโคตรระแวง ก็หากใครคิดว่าผู้หญิงคนนี้ต้องชื่นชอบเมะหล่อๆ รวยและเท่แบบเขา มันก็ยังมีกรณีที่แปลกออกไปไม่ใช่หรือ

            มุนอีคนนั้นเอ่ยบอกบอกเฮนรี่ว่าชอบผู้ชายน่ารักในวันที่เขาไปรับเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ทำเอาท่านประธานแทบจะควันออกหู แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาน่ารัก กิริยามารยาทเรียบร้อย มักจะเดินกอดหนังสือเพลงและโน้ตเพลงในอ้อมกอดอยู่ตลอดเวลา ไอ้เขาถึงจะไม่ใช่สุภาพบุรุษแต่ก็ไม่มีทางทำร้ายคนอ่อนแอกว่าอยู่แล้ว

            แล้วมีคนเข้าใจเชวโจวบางมั้ยว่าเมียเขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายแมนๆ ที่ชอบผู้หญิงน่ะ!!!

            ชายหนุ่มสบถในใจ ในเมื่อกว่าจะหลอกล่อ กว่าจะทำให้เฮนรี่ยอมรับตัวเองได้ก็นานสองนาน แล้วจู่ๆ ดันมีผู้หญิงที่ (น่าจะ) เป็นสเปคของเฮนรี่ในสมัยก่อนโผล่เข้ามา แถมยังชอบเครื่องดนตรีเหมือนกันแบบนี้อีก ทำเอาอยากลาตายเลยทีเดียว

          กูจะทำยังไงดีวะ!

            ความคิดที่หากปรึกษารุ่นพี่หลายๆ คนมีหวังได้รับเสียงหัวเราะเยาะแบบสมน้ำหน้ามาให้เขาแน่ๆ เมื่อกรรมมันดันตามสนองที่แกล้งเขาเอาไว้เยอะ มาตอนนี้ดันกลายเป็นว่าเมียน่ารักของเขาเลือกได้ แล้วเลือกได้ทั้งชายหรือหญิงเสียด้วย

            หมับ

            “อ้ะ โจวมี่” คนตัวเล็กได้แต่สะดุ้งน้อยๆ หลุดจากเสียงหวานๆ ของเพื่อนร่วมชมรมเมื่อคนรักเดินมาโอบเอวจากด้านหลัง ใบหน้าคมคายก็ซบลงที่ลาดไหล่เล็ก ดวงตากลมก็ฉายแววประหลาดใจ ทั้งที่หูฟังเสียงหวานๆ ของคนปลายสายอยู่

            “เฮนรี่พรุ่งนี้ตอนเย็นพอจะซ้อมกับเราได้มั้ย...นะ” คำถามของมุนอีที่ทำให้คนทางฝั่งนี้ยิ้มกว้าง ในใจคิดเพียงการเล่นไวโอลินที่รักที่สุด ไม่ได้รู้หรอกว่าเจตนาของอีกฝั่งน่ะคืออะไร ผิดกับคนที่เนียนมากอดแล้วได้ยินเสียเต็มสองหู

          จะมาแย่งเมียกูใช่มั้ยเนี่ย!

            “หิวแล้วนะเฮนรี่” ก่อนที่เฮนรี่จะตอบ ชายหนุ่มก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันที จงใจให้อีกฝั่งได้ยินไปด้วย แต่ทำให้คนไร้เดียงสาฝั่งนี้ทำได้เพียงเอียงคอน้อยๆ แล้วก็เบิกตากว้าง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่กลับห้อง นอกจากถูกจัดการกินในห้องน้ำแล้วมาต่อกันบนเตียงเนี่ย พวกเขายังไม่ได้กินอะไรสักอย่าง

            “งั้นเดี๋ยวฉันไปทำให้นะ”

            “ไม่...ที่ฉันอยากกินน่ะ” โจวมี่ทำตาวิบวับให้ร่างเล็กหน้าแดงเรื่อ แล้วจงใจโน้มหน้าไปหอมแก้มนุ่มฝั่งที่มีโทรศัพท์แนบอยู่ แล้วกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน (แต่แน่ไงว่าโทรศัพท์มันชิดอยู่แค่นิดเดียว ยังไงหญิงสาวก็ต้องได้ยิน)

          “ฉันอยากกินนาย”

            “โจวมี่...เดี๋ยวสิ...” เฮนรี่ได้แต่อ้าปาก เบิกตาขึ้น ทั้งยังหน้าแดงหูแดงไปหมด จนได้แต่มุ่ยหน้าใส่แต่ด้วยความที่ยอมคนตัวโตมาตลอด เสียงใสก็เลยบอกตัดสายคนทางโทรศัพท์เสียเอง

            “เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะมุนอี พรุ่งนี้ค่อยเจอกันที่ชมรม” เฮนรี่วางสายสมใจพ่อคนตัวโตเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองโจวมี่ทำนองว่าจะทำจริงๆ หรือ แล้วเสียงหวานก็บอกอย่างติดอ้อนนิดๆ

            “หิวข้าวแล้วนะ”

            “หึๆ งั้นก็ไปกินข้าว เดี๋ยวฉันอาบน้ำก่อน ทำสุดฝีมือนะคุณเมีย เดี๋ยวตามออกไปกิน” เมื่อคนตัวโตยอมปล่อยเขาแต่โดยดี เฮนรี่ก็ยิ้มกว้างทันที พยักหน้าแรงๆ เมื่ออีกฝ่ายยอมตามใจ ร่างเล็กก็บอกว่าขอล้างตัวแป๊บแล้วก็หายเข้าห้องน้ำไป เพื่อเร่งออกไปทำกับข้าวให้ใครบางคนได้กินด้วยกัน ใบหน้าน่ารักฉายชัดถึงความสุขที่ได้อยู่กับคนรักแบบนี้

            โดยไม่รู้เลยว่า...กำลังเกิดกรณีพิพาทระหว่างผัวกับสาวสวยอีกคนหนึ่ง

            เฮนรี่หายลับเข้าห้องน้ำไปแล้ว ยามที่โทรศัพท์ที่โจวมี่ดึงเก็บเอาไว้สั่นเบาๆ ให้ต้องยกมันขึ้นมาดู

                        พรุ่งนี้เจอกันบ่ายสามนะเฮนรี่ ><

            ข้อความสั้นๆ ที่โจวมี่ขว้างมันลงเตียงอย่างหัวเสีย (ขว้างทิ้งไม่ได้เดี๋ยวเมียงอนใส่)

          ตกลงจะเอาเมียกูเป็นผัวให้ได้เลยใช่มั้ยวะ นี่หงุดหงิดแล้วนะ หงุดหงิดเข้าใจมั้ยวะ!!!

.....................................................................

            

            หลังจากที่นั่งคิดนอนคิดมาตลอดหนึ่งคืนเต็มๆ ถึงเรื่องของหญิงสาวนามว่าชามุนอี โจวมี่ก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าบางที เขาควรจะต้องทำอะไรสักอย่างให้ชัดเจน และให้ผู้หญิงคนนั้นเลิกมายุ่งเกี่ยวกับเมียเขาได้แล้ว
           
            ผู้ชายอื่นอยากได้เมียเราว่าไม่ขำแล้วนะ นี่ผู้หญิงอื่นอยากได้เมียเราไปเป็นผัวแทบทำให้สมองส่วนที่สั่งการให้หัวเราะตายสนิทไปเลยล่ะ
           
            จริงๆ แล้วการทำให้คนอื่นเลิกยุ่งกับเมียน่ะไม่ใช่เรื่องยากหรอก แต่ที่ยากน่ะ...ห้ามใช้ความรุนแรง

            “ทำไมช่วงนี้มึงเป็นคนใจอ่อนได้ขนาดนี้วะโจวมี่” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ในเมื่อแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนโหดเหี้ยมทารุณ หรือเลือดเย็นอย่างรุ่นพี่ที่เคารพรัก แต่เขาก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคนกลุ่มของพี่คิบอม เรื่องอยากได้อะไรก็ต้องได้มาไว้ในมือก็ไม่ต่างจากคนอื่นสักเท่าไหร่ แต่วิธีการอาจจะเจ้าเล่ห์ไปนิด รวบรัดไปหน่อยก็เท่านั้น

            อย่างคราวกรณีพี่ซิน เขายังล่อยาปลุกเซ็กส์ไปตั้งเกือบครึ่งขวด แต่พอหาวิธีจัดการคนที่ยุ่งยากกับเมียตัวเองดันทำอะไรมากไม่ได้ เพราะถ้าเรื่องถึงหูเฮนรี่ ท่าทางคนไร้เดียงสาของเขาได้งอนยาวงานเข้าแน่ๆ

            ความคิดของชายหนุ่มรูปหล่อที่เดินล้วงกระเป๋ามาตามทางตรงดิ่งไปยังห้องชมรมออเครสต้า ใบหน้าคมคายฉายแววครุ่นคิด ทั้งที่มีวิธีหนึ่งวิ่งแวบเข้ามาในหัว

            “ฮึ ไม่ต้องใช้ความรุนแรง ไม่ต้องทำร้ายผู้หญิงคนนั้น...แต่อาจจะง้อเฮนรี่ยาวกว่าเดิมสักนิด” โจวมี่เริ่มยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อแผนการร้ายในหัวกำลังประมวลออกมาเป็นรูปร่างว่าเขาควรจะจัดการขั้นเด็ดขาดยังไงกับผู้หญิงคนนั้นดี

            คิดได้เพียงเท่านั้น มือใหญ่ก็ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครบางคน...ประธานชมรมออเครสต้า

            “ครับประธาน” ใช้เวลาเพียงอึดใจ อีกฝ่ายก็รับสาย ทั้งยังเอ่ยทักทายอย่างเกรงเขาอยู่ไม่น้อย ทำให้โจวมี่ยกมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แน่ล่ะงบชมรมของปีนี้ยังอยู่บนปลายปากกาของเขานี่นะ ตราบใดที่ยังไม่ได้อนุมัติและเซ็นชื่อ สิ่งที่เขาต้องการก็ไม่ได้ยากเกินกว่าเอ่ยปากสั่ง

            ก็คิดหรือว่าเขาจะให้เมียตัวเองเข้าชมรมที่เขาไม่มีเส้นสายน่ะ แค่ครั้งแรกที่เฮนรี่บอกว่าจะออกจากชมรมคหกรรมไปเข้าชมรมออเครสต้า เขาก็ยื่นข้อเสนอเรื่องงบชมรมกับประธานทางฝั่งนี้เพื่อความสะดวกในอนาคตเหมือนอย่างตอนนี้ยังไงล่ะ

            ถึงจะไม่ค่อยแสดงออกอะไรมากนัก แต่ขึ้นชื่อว่ากลุ่มสภานักศึกษาก็หวงเมียยิ่งชีพทั้งนั้นแหละ

            “มีอะไรให้ทำหน่อย วันนี้ยกเลิกกิจกรรมชมรมแล้วประกาศให้สมาชิกทุกคนรู้ ยกเว้นแค่มุนอีคนเดียว” โจวมี่บอกอย่างไม่อ้อมค้อม ซึ่งทำให้คนปลายสายเพียงส่งเสียงแปลกใจนิด แต่ก็รับปากอย่างรู้ดีว่าอย่าถามมากจะดีกว่า

            “ได้ครับ” ทันทีที่รับคำตอบที่พอใจ โจวมี่ก็วางสายลงด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นขายาวก็พาร่างตัวเองไปยังจุดหมายปลายทางตั้งแต่แรกด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมโขเลยเชียวล่ะ

.........................................................

            “อืม วันนี้ทำอะไรกินดีนะ”

            ภายในห้องชมรมขนาดใหญ่ คนร่างอวบเจ้าของผิวขาวเนียนกำลังดึงโน้ตเพลงที่กำลังฝึกซ้อมขึ้นมาจากกระเป๋า ดวงตากลมก็ฉายแววครุ่นคิดถึงอาหารเย็นในวันนี้ไปด้วย ในใจก็ไล่ถึงเมนูโปรดของคนรักด้วยรอยยิ้มบาง         

            สำหรับเฮนรี่แล้ว การเล่นดนตรีอาจจะเป็นความสุขของเขา แต่มันก็เทียบไม่ได้กับความสุขยามที่กำลังนึกถึงคนรักร่างสูงของตัวเอง คนที่ชอบทำหน้าเจ้าเล่ห์ แต่มีดวงตาคู่คมที่วาวเข้มน่ามอง ไม่ว่าเมื่อใดที่จ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เขาก็ไม่สามารถละสายตาไปทางไหนได้

            แววตาที่ดึงดูดตั้งแต่วันแรกจนถึงทุกวันนี้

            แม้ว่าคนๆ นั้นจะขี้แกล้ง ชอบทำให้เขางอนบ่อยๆ เคยทำแม้กระทั่งทำให้เขาคิดว่าไม่ได้รักกัน คนที่บอกว่าจะพิสูจน์คำพูดตัวเองว่าเขาน่ะไม่ได้แมนอะไรมากมายหรอกนะ แต่โจวมี่จะรู้มั้ย บางทีเขาก็แอบคิดนะว่าที่เขาเคะอยู่แบบนี้น่ะ ก็เคะให้กับโจวมี่คนเดียวเท่านั้นแหละ

            “รู้อยู่หรอกว่าหวงน่ะ” เฮนรี่พึมพำทั้งยังอมยิ้มน้อยๆ นึกถึงคนตัวโตที่เดี๋ยวนี้ชอบแสดงออกว่าหึงเขาอย่างออกนอกหน้า แต่โจวมี่น่ะไม่รู้หรอกว่า พวกผู้ชายหลายคนในชมรมที่เหมือนจะจีบเขาไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหว ไม่ได้ทำให้เขาใจเต้นแรง ไม่มีแม้กระทั่งเศษเสี้ยวของความหวั่นไหวเลยด้วยซ้ำ มันเทียบไม่ได้เลยกับคืนที่เขาสบตากับโจวมี่ในผับของพี่ฮัน

            ตอนนี้เฮนรี่เข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้เกิดมาเป็นคนที่ชอบผู้หญิง หรือคนที่เหมาะกับผู้ชายคนอื่น...เขาแค่เกิดมาเพื่อที่จะรักกับโจวมี่เท่านั้นเอง

            เชวโจว คนนี้คนเดียวเท่านั้น

            ความคิดของคนตัวเล็กที่ไม่เคยรู้เลยว่ามีหญิงสาวสวยคนหนึ่งหันมาแอบชอบเขาเงียบๆ ในเมื่อสายตาคู่นี้มีเพื่อมองคนๆ เดียวมาตลอดหลายปีแล้วนี่นะ

            หมับ

            “อ้ะ!!!

            “ไม่ระวังตัวเหมือนเคย ถ้าไม่ใช่ฉันจะทำยังไงหืม”

            “โจวมี่! เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” เฮนรี่สะดุ้งน้อยๆ เมื่อมีอ้อมกอดอบอุ่นโอบรัดรอบเอวเล็ก ใบหน้าสวยเงยขึ้นพอดีกับที่เสียงนุ่มทุ้มที่แสนคุ้นเคยบอกอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก หากแต่ใบหน้าคมคายของคนรักก็ทำให้เสียงใสร้องถามอย่างสงสัย ทั้งยังเอียงคออย่างน่าเอ็นดู

            ท่าทางที่ไม่ได้ดูตกใจเลยสักนิด จนคนมองอดไม่ได้จะก้มลงไปฟัดแก้มนิ่มแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

            “อือ...ช้ำหมดแล้ว”

            “ก็จะทำให้ช้ำน่ะสิ ไม่ระวังตัวเลย ถ้าเป็นคนอื่นเจอเธอทำหน้าอย่างนี้ใส่ คงรอดหรอกนะ” โจวมี่ยังคงว่าด้วยเสียงแข็งนิดๆ แต่ทำให้คนฟังหลุดยิ้มออกมาอย่างน่ารัก ใบหน้าสวยส่ายน้อยๆ ยามที่หมุนตัวกลับมากอดรอบลำคอแกร่ง
           
            จุ๊บ

            “ไม่หรอก ฉันเชื่อว่าโจวมี่มาช่วยฉันทันอยู่แล้ว” คนน่ารักเขย่งตัวไปหอมแก้มสากเบาๆ แล้วก็บอกเสียงใสอย่างอารมณ์ดี และเหมือนจะทำให้ท่านประธานหนุ่มหลุดยิ้มออกมาดื้อๆ ดวงตาคู่คมที่แสนน่ามองก็จ้องมองใบหน้าเรียวสวยไม่ละสายตา

            “ทำตัวน่ารักอีกแล้วนะเธอน่ะ” คนฟังหลุดยิ้มออกมาทันที แก้มเนียนขึ้นสีระเรื่อให้คนตัวโตขยับมาใช้ปลายจมูกถูเข้าที่แก้มนิ่มเบาๆ อย่างอ่อนโยน ยามที่มือใหญ่ยกขึ้นจากด้านหลังของร่างเล็กเพื่อเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือ

            อีกห้านาทีบ่ายสาม

            การกระทำที่ร่างน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวนอกจากกอดคนตัวโตเอาไว้แน่น เอียงแก้มให้อีกฝ่ายกดปลายจมูกอยู่แบบนั้น ตากลมก็หลับพริ้มกับอ้อมกอดอุ่นๆ ของคนที่คงมากวนเขาเล่นอย่างที่เคย แต่ที่เฮนรี่ไม่รู้น่ะ...คนเจ้าเล่ห์ไม่ได้แค่มาหยอกเล่นแบบทุกทีนี่สิ

            “!!!

            “จะ..โจวมี่จะทำอะไร หยุดน้า...อื้อ” ทันทีที่ฝ่ามือใหญ่ขยับไปกอบกุมก้นนุ่มเอาไว้ทั้งสองมือ ดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างอย่างตกใจ เงยหน้าขึ้นหมายจะเอ่ยปากห้ามอย่างเกรงว่าใครจะเห็น แต่เพียงเงยหน้า คนที่รอโอกาสอยู่แล้วก็ก้มลงใช้ริมฝีปากได้รูปหยุดทุกเสียงห้ามปรามให้หายไปในลำคอ

            จูบรสนุ่มที่ไม่เพียงแต่อ่อนหวาน แต่แฝงด้วยความเร่าร้อนรุนแรง ทั้งยังอุ่นซ่านในความรู้สึก ปลายลิ้นร้อนผ่าวก็ส่งเข้ามากวาดต้อนความหอมหวานไม่ได้ว่างเว้น ฝ่ามือร้อนระอุก็ลูบไล้เนื้อตัวขาวผ่องไปมาเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ของร่างน้อย

            จูบที่เรียกเสียงครวญครางเบาๆ จากลำคอของคนตัวเล็ก มือที่ทำท่าจะผลักดันก็เกาะเอาไว้ที่บ่าแกร่งทั้งสองข้าง เปิดปากรับสัมผัสที่เกิดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน มีเพียงความรู้สึกเต็มใจที่จะตอบรับคนรักเท่านั้น หากแต่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ ของร่างน้อยก็ร้องเตือนอยู่ตลอดเวลา

            “อื้อ...โจวมี่..ดะ...เดี๋ยวมีใครมาเห็นนะ” ทันทีที่เรียวปากเป็นอิสระ เฮนรี่ก็บอกเสียงสั่น ดวงตาคู่สวยที่ฉ่ำวาวขึ้นก็เงยขึ้นสบตา ให้คนฟังยกยิ้ม ปลายนิ้วก็ยกขึ้นปาดเช็ดน้ำใสที่มุมปากของร่างน้อยอย่างเบาแรง ขณะที่มือใหญ่อีกข้างกำลังยกอะไรบางอย่างที่ดึงมาจากกระเป๋ากางเกงเฮนรี่เมื่อครู่ขึ้นมาตรงหน้า

            “วันนี้ไม่มีใครมาหรอก เขายกเลิกกิจกรรมชมรม ฉันเลยมารับเร็วยังไงล่ะ” โจวมี่ว่าพลางส่งโทรศัพท์ที่หน้าจอปรากฏตัวอักษรเป็นระเบียบมาให้เฮนรี่รับมันมาถือเอาไว้ เรียวปากสีสดมุ่ยลงนิดที่เขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย

            “เห็นมั้ย เพราะฉะนั้นเอาปากมาให้ซะจูบดีๆ” ว่าจบ มือใหญ่ก็ยิ่งรั้งเอวเล็กเข้ามาในอ้อมกอดมากยิ่งขึ้น จนร่างน้อยแก้มแดงก่ำ ช้อนตาขึ้นมองอย่างไม่แน่ใจ

            “จูบ...อย่างเดียวนะ...”

            “ก็ถ้าทำตัวน่ารักแบบนี้เห็นทีคงไม่ได้มีแค่จูบ”

            “อื้อ!!!” สิ้นคำของคนเจ้าเล่ห์ที่ไม่คิดต่อรอง เรียวปากสีหวานก็จำต้องเงียบลงเมื่อความร้อนผ่าวเข้าแนบชิด จนเปลี่ยนเสียงห้ามเป็นเสียงครางแผ่วๆ ที่หลุดจากลำคอ มือเรียวที่คล้องลำคอแกร่งมั่นยิ่งกอดรัดเอาไว้แน่น

            แม้ใจจะอยากบอกว่ากลับไปทำที่บ้านเถอะ แต่เหมือนว่าจะห้ามคนรักไม่ได้ง่ายๆ นี่นะ เพราะฉะนั้น...ก็ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน

            ความคิดของคนน่ารักที่ไม่รู้เลยว่าภาพของเขาที่กำลังกอดคอร่างสูง ทั้งยังโน้มใบหน้าคมให้มอบจูบมากยิ่งขึ้นตกอยู่ในสายตาตกตะลึงของหญิงสาวร่างบอบบางที่แง้มประตูเข้ามา ผิดกับโจวมี่ที่กอดรัดร่างเล็กเอาไว้แน่นที่มองอย่างสมใจ

            เห็นมั้ยล่ะ ไม่ได้ใช้ความรุนแรงเลยสักนิด ก็แค่...แสดงความรักกับเมียแล้ว บังเอิญ มีคนมาเห็นเท่านั้นเอง หึๆ

.............................................

            “หายงอนได้แล้วน่า เฮนรี่”

            บนทางเดินของมหาวิทยาลัย คนคู่หนึ่งที่มักจะตกเป็นประเด็นอยู่เสมออย่างท่านประธานสภานักศึกษาสุดหล่อกับแฟนคนน่ารักกำลังเดินเคียงคู่มาด้วยกัน โดยที่เฮนรี่ก็มุ่ยหน้าน้อยๆ ทั้งยังส่งค้อนให้อีกฝ่ายเสียหลายที โดยมีเสียงทุ้มดังกลั้วหัวเราะดังไล่หลังไม่ได้ขาด

            ก็จะไม่ให้เฮนรี่งอนได้ยังไงล่ะ เมื่อวานน่ะ แม้จะไม่ได้ทำกันในห้องชมรมก็จริง แต่ก็...เกือบ...เกือบเลยนะ เสื้อผ้าหลุดรุ่ยไปหมด ดีที่เขาตั้งสติในวินาทีสุดท้ายทันจนต้องงอนคนตัวโตอย่างนี้ไงล่ะ...ทำอะไรไม่ดูสถานที่เลยสักนิด

            “ไม่ได้งอนสักหน่อย” เสียงใสยังคงปฏิเสธแผ่วๆ ขณะที่กอดหนังสือตัวเองแน่น ส่วนเครื่องดนตรีคู่ใจน่ะหรือก็หน้าที่คนรักร่างสูงนั่นแหละ

            ขณะที่คนฟังก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าดู มองแผ่นหลังบางที่ก้าวนำหน้าอย่างแสนรัก

            ก็คนที่ปากว่าไม่ได้งอน แต่แสดงออกว่างอนยังคงเตรียมข้าวเช้าให้ เตรียมเสื้อผ้า บีบยาสีฟันวางไว้ให้เสียพร้อม ถ้าจะงอนน่ารักแบบนี้ จะทำให้งอนทุกวันเลยเชียวล่ะ...

            “เฮนรี่ๆๆ”

            ขวับ

          เชี่ย!!! ให้กูมีความสุขมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือวะ

            โจวมี่ที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขถึงกับหน้าบึ้ง เมื่อร่างเล็กๆ ของหญิงสาวที่เป็นคู่กรณีกำลังร้องเรียกเมียเขา ทั้งยังก้าวตรงดิ่งเข้ามาทางนี้ ทั้งที่นึกว่ายัยนี่คงแอบไปร้องไห้โฮ ไม่กล้าโผล่หน้ามาเจออีกแน่ๆ แต่ไหงถึงโผล่มาได้ล่ะ

            “มุนอี อรุณสวัสดิ์” ผิดกับเฮนรี่ที่ยิ้มหวานให้ทันที แล้วหยุดรอหญิงสาวที่ก้าวดุ่มๆ มายืนตรงหน้าเขา อดแปลกใจไม่ได้ที่แก้มเนียนขึ้นสีระเรื่อ ทั้งยังส่งสายตาไม่พอใจให้กับคนรักของเขาที่ยืนนิ่งไปแล้ว

            หมับ

            “เฮนรี่...”

            “หือ”

            “...เรา...เราชอบเฮนรี่นะ เราพยายามตัดใจแล้ว แต่เราทำไม่ได้ เราขอชอบเฮนรี่ไปอย่างนี้เรื่อยๆ นะ แม้ว่าเฮนรี่จะคบกับประธานก็ตาม...นะ...ได้มั้ย...” พอมาหยุดอยู่ตรงหน้า ชามุนอีก็ไม่พุดพร่ำทำเพลง นอกจากจับมือเรียวของลิ้นจี่แก้มแดงเอาไว้แน่น เสียงหวานก็เอ่ยตะกุกตะกักเพียงนิด ก่อนจะโพล่งความในใจออกมาให้คนฟังอ้าปากค้าง

            แต่โจวมี่ตาเหลือกไปเรียบร้อยแล้ว

            “ห้ะ!!!

            “ไม่ว่าเฮนรี่จะคบกับประธานมานานแค่ไหน เราก็ขอชอบเฮนรี่อย่างนี้ล่ะ แม้เราจะเห็นอะไรมากกว่านี้ เราก็จะไม่เลิกชอบเฮนรี่นะ”

            “คะ...คือ มุนอี...คือ...” สีหน้าท่าทางจริงจังของหญิงสาว ทำให้เฮนรี่ได้แต่สะดุ้งน้อยๆ พูดอะไรไม่ออกมาขึ้นมาทันที เรียกว่าจับต้นชนปลายไม่ถูกจะดีกว่า ผิดกับมุนอีที่ส่งยิ้มหวานมาให้ แล้วก็ไม่รอคำตอบ นอกจากหันไปหาโจวมี่แล้วบอกเสียงดังฟังชัด

            “ประธานคะ ฉันชอบแฟนประธาน ชอบมาได้สักพักแล้วด้วย...ฝากตัวด้วยนะคะ” ว่าจบ หญิงสาวก็หมุนตัวกลับไปอีกทางอย่างไม่รอดูผลงานของตัวเองที่กำลังทำให้โจวมี่หน้าเขียวด้วยความโมโหเลยเชียวล่ะ

          นี่มันอะไรวะ กูแสดงหนังสดให้ดูแล้วนะเว้ย นี่อยากได้ข้างหน้าเมียกูมากใช่มั้ยวะ!!!!

            ความคิดที่หากโจวมี่พ่นไฟได้คงทำไปแล้ว มือใหญ่ก็กอดเอวคนรักที่ช็อกค้างแล้วแน่น ตาคมยิ่งวาววับด้วยความโมโห ทั้งยังปฏิญาณในใจ

          ยังไงก็ไม่ยกเมียให้คนอื่นหรอกเว้ย หยุดฝันกลางวันไปเลย!!!

            เอาน่าก็ถือว่ากรรมตามสนองคนขี้แกล้งที่ต้องแปลงร่างเป็นคนขี้หวงแล้ว...ก็เท่านั้นเอง...


..................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น