วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Special CL_8 ปาร์ตี้ชุดนอน 2

Special CL_8 ปาร์ตี้ชุดนอน 2



            ภายในห้องนอนแสนน่ารักของลีดงแฮมีบรรยากาศที่แสนกดดัน (สำหรับคิมฮีชอล) เมื่อคนทั้งกลุ่มเอาแต่จ้องใบหน้าเรียวสวยไม่วางตา ดวงตาแต่ละคู่บ่งบอกชัดเจนว่าอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย แน่ล่ะ เรื่องของคนขี้อายกับสุภาพบุรุษเชวน่ะ นานๆ ทีจะหลุดจากปากของพี่คนสวยนี่นะ

            “ไม่เล่า...ได้มั้ย”

            “อุคกี้ เปิดเบียร์ กรอกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หลุดออกมาเองนั่นแหละ” สิ้นคำของฮีชอล ซองมินก็บอกเพื่อนซี้ที่ทำตามทันที ท่าทางสนุกของรุ่นน้องทั้งสองทำเอาคนต้องเล่าค้อนขวับ

            “ก็พี่ไม่รู้จะเล่าอะไรนี่นา น่าอายจะตาย” ฮีชอลที่แก้มแดงเรื่อ แต่พยายามทำตาดุรุ่นน้องที่มองยังไงก็สวยสุดๆ จนไม่แปลกใจที่คุณชายบางคนจะถนอมยิ่งชีพ ยอมแม้แต่แห้งเหี่ยวตายก่อนจะได้ลิ้มรสความหอมหวานชั้นเลิศตรงหน้า

            ท่าทางลำบากใจไม่น้อยที่ทำให้คนทั้งกลุ่มหันมามองหน้ากัน รู้แหละว่าแค่ฮีชอลยอมเอ่ยปากตกลงด้วยก็ว่ายากแล้ว

            “งั้นข้ามซินก่อนมั้ย เดี๋ยวฟังเรื่องของคนอื่นก็จะได้ไม่เขินเท่าไหร่ไง แต่ละคนก็คงมีที่แปลกล่ะมั้ง” อีทึกจับมือเพื่อนแล้วบีบเบาๆ จนคนเขินพยักหน้าแรงๆ อย่างน้อยก็มีเวลาทำใจ ซึ่งคำตัดสินนี้ก็ทำให้คู่หูชมรมคหกรรมหันไปมองปลาน้อยที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนพื้นอีกที

            “อืม...ที่แปลกหรือ ที่แปลก ที่ไหนน้า” ท่าทางคิดจริงจังของคนหน้าหวานที่ทำให้แต่ละคนยอมปล่อยคนที่น่าเค้นถามไปก่อน

            ก็แหม ชีวิตรักของเจ้าชายน้ำแข็งคิมคิบอมเวลาอยู่บนเตียง...น่าสนใจน้อยเสียเมื่อไหร่

            “พี่ทึกกี้รู้แล้วหรือฮะว่าจะเล่าเรื่องไหน” ฮยอกแจที่กลัวเหลือเกินว่าอาจจะเหยื่อรายแรก กระซิบถามรุ่นพี่ตาสวยเบาๆ ใบหน้าเรียวก็แดงก่ำ จนทำให้อีทึกลูบหัวน้องน้อยอย่างเบามือ

            “อืม ว่ากันตามจริง พี่ก็มีล่ะมั้ง”

            “งั้นเล่าเลย พี่เล่าเลยๆๆ” สิ้นคำของอีทึก เรียวอุคก็โผเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ก็นานๆ ทีพี่ทึกกี้จะยอมตามใจพวกเขาง่ายๆ อย่างนี้นี่นา ท่าทางอยากรู้อยากเห็นที่ทำให้นางฟ้าของหมีนักษ์แก้มแดงหน่อยๆ

            เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องอายนะ ในเมื่อคังอินอ่อนโยนกับเขาเสมอ ใครจะคิดล่ะว่าผู้ชายแรงเยอะ ชอบใช้กำลังน่ะ เวลาอยู่บนเตียงกลายเป็นคนที่ชอบห่วงใย กลัวว่าแรงไป กลัวว่าเขาจะเจ็บหรือเปล่า

            เพียงแค่คิดถึง แก้มใสก็แดงอย่างน่าดู นัยน์ตาคู่สวยเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

            “อืม พี่ก็ไม่ค่อยมีที่แปลกหรอก ส่วนใหญ่ก็ในคอนโดของคังอินนั่นแหละ เวลาไปเที่ยวกันก็ในห้องพักตลอด แล้วถ้าเป็นในห้องน้ำมันก็ไม่แปลกใช่มั้ยล่ะ” เมื่ออีทึกหันมาถามน้องๆ ทั้งหลาย แต่ละคนก็กดหน้ากันหงึกหงัก ทำนองว่าห้องนั้นน่ะ อย่างน้อยๆ มันก็ต้องเคยกันบ้างแหละน่า

            “งั้นที่ไหนล่ะฮะ” ฮยอกแจถามอย่างอยากรู้ ศีรษะได้รูปก็ขยับมานอนหนุนตักพี่ใหญ่ ซึ่งทำให้อีทึกแก้มแดงจัด

            “อืม...ในรถน่ะ” คนตาสวยตอบคำเบาๆ ซึ่งทำให้พวกอยากรู้อยากเห็นถามกันต่ออย่างสงสัยว่ามันไปอะไร ยังไง ทำไมเริ่มต้นกันในรถ เพราะว่ากันตามจริง ในรถสำหรับทั้งซองมิน ทั้งเรียวอุคก็ธรรมดานั่นแหละ แต่สำหรับพี่ทึกกี้คนสวยที่จริงๆ ขี้อายยิ่งกว่าใครแล้ว มันก็น่าตื่นเต้นใช่มั้ยล่ะ

            “ก็ตอนนั้นน่ะ พอดีว่าคังอินเลิกงานดึกก็เลยไปรับพี่ที่ร้านช้า แล้วพี่เห็นเขาเครียดๆ กับงานก็เลยถามว่าไปนั่งรถเล่นกันก่อนมั้ย...” อีทึกเล่าพลางก้มหน้าน้อยๆ เรียวปากยกยิ้มหวาน ขณะที่นึกย้อนไปเมื่อประมาณปีก่อนที่เขาและคังอินนั่งรถเล่นไปไกลถึงชุนชอน อากาศเย็นๆ ที่คนรักของเราเปิดหลังคารถสปอร์ตคันหรูให้สายลมเย็นพัดปะทะใบหน้า

            ระหว่างนั้น เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องงานของคังอิน งานที่ร้านของเขา มารู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่เขตของชุนชอนแดนแห่งทะเลสาบเสียแล้ว

            ดาวที่นี่สวยเนอะอีทึกว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวที่พราวระยับบนฟ้ากว้าง ขณะที่พวกเขาจอดรถอยู่ริมทะเลสาบกว้างใหญ่ที่ไร้ผู้คน บรรยากาศเงียบๆ ที่มีเพียงไฟทางไม่กี่ดวง แต่มันกลับไม่น่ากลัวเลยสักนิด เมื่อข้างกายมีผู้ชายคนนี้

          หมับ

          หนาวมั้ย ฉันขอโทษ นั่งตากลมมาตั้งนาน ดูสิ ตัวเย็นเฉียบเลยแต่เหมือนคังอินจะสนใจใบหน้าสวยที่ซีดขาวเสียมากกว่า ฝ่ามือใหญ่ถึงขยับมาแตะที่แก้มใสที่เย็นเฉียบ แล้วจัดการดึงร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอดอุ่น

          ไม่หนาวหรอก ก็นายกอดฉันอยู่นี่นาอีทึกว่าด้วยรอยยิ้มหวาน ยามที่ขยับหน้าเข้าซุกกับแผ่นอกอุ่นๆ ของคนรักอย่างไม่เกี่ยงงอน มือเรียวก็กอดเอวสอบแน่น ถ้อยคำน่ารักๆ ที่ทำให้หมียักษ์นิ่งไปพักใหญ่...นานจนคนตาสวยต้องเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง จนพบกับ...รอยยิ้มกว้าง...ทั้งปากและนัยน์ตา

          เธอน่ารักให้หน่อยกว่านี้หน่อยสิทึกกี้ แค่นี้ก็รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้วคำพูดตรงๆ ของคนตัวโตที่ทำให้ใจดวงน้อยเต้นแรง ดวงตาทั้งสองคู่สบกันนิ่ง ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะขยับมากดจูบที่เรียวปากแสนหอมหวาน จูบที่พวกเขาต่างเต็มใจเหลือเกินให้มันเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้...มันกลับไม่หยุดลงเพียงจูบเช่นทุกที

          ฝ่ามือแข็งแรงก็ขยับสอดเข้าที่ชายเสื้อเนื้อนุ่ม จนอีทึกตัวสั่นน้อยๆ หากแต่เรียวปากที่เจอรสจูบแสนร้อนแรงก็ทำให้ร่างกายได้แต่โอนอ่อนอย่างไร้แรงจะต่อต้าน มารู้ตัวอีกที เขาก็ถูกจับให้ขึ้นไปคร่อมทับร่างคนรักตรงที่นั่งคนขับเสียแล้ว

          ค่ำคืนนั้นที่มีเพียงดวงดาวบนฟ้ากว้าง แสงไฟอ่อนจางในความรู้สึก กับความรักที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้แก่กัน ประสานไปกับเสียงครางกระเส่าหวานที่คลอเคลียไปกับเสียงธรรมชาติ

          ที่ไม่ว่านึกถึงกี่ครั้ง...ก็ยังหวานละมุนอยู่เสมอ

            “เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ” อีทึกเล่าเสียงเบา แต่อย่างน้อยก็ไม่หลุดรายละเอียดบางอย่างที่แสนน่าอายออกมา บางสิ่งมันก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับของเราสองคน...ใช่มั้ยล่ะ

            “โรแมนติกจังเลย อากาศเย็นๆ กับความอบอุ่นของคนสองคน” ฮยอกแจที่นอนหนุนตักรุ่นพี่อยู่บอกด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แก้มใสก็แดงจัด นึกภาพคนสองคนที่ทำให้เขินอย่างบอกไม่ถูก

            “พี่คังอินดูอ่อนโยนชะมัดเลย ไม่เห็นเหมือนไอ้พี่เย่เลยสักนิด รายนั้นเสียบได้เป็นเสียบ กระแทกได้เป็นกระแทก!” เรียวอุคโพล่งขึ้นมาทันที กับเรื่องเล่าของรุ่นพี่ ซึ่งแม้จะไม่ได้เล่าว่าก่อนจะถึงขั้นนั้น พูดอะไร ขออะไร แต่แหม มันก็พอเดาได้นี่นะ มองจากหน้าแดงๆ ของพี่ทึกกี้ก็รู้แล้วแหละ

            อีกอย่าง พี่คังอินกลายเป็นผู้ชายว่าง่ายก็ตอนอยู่กับเมียเนี่ยล่ะ

            “งั้นเรื่องของอุคกี้เป็นไงหรือ” ดงแฮที่กลับไปนอนตีขาไปมาบนพื้นพรมอีกแล้วถามด้วยรอยยิ้มกว้าง ทั้งที่เมื่อนาทีก่อนยังเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของพี่คิบอมอยู่เลย

          ก็ด๊องคิดไม่ออกนี่นา ที่แปลกคือตรงไหนล่ะ ก็ถ้าพี่คิบอมอยากกิน ด๊องก็ให้กินนี่นะ

            แต่ดูเหมือนคำถามของเพื่อนจะทำให้เรียวอุคยู่ปากหน่อยๆ เมื่อนึกถึงเรื่องของเขาบ้าง ไอ้ประเภทถามเสียงนุ่ม เล้าโลมอย่างอ่อนโยน อย่าไปนับรวมไอ้พี่เย่เลย รายนั้น กวนประสาทจนได้เรื่องทุกที

            “ของฉันบนเรือสปีดโบ้ทกลางทะเลน่ะ”

            “อ้อ วันนั้นที่นายบอกว่าจะไปเที่ยวทะเลกับพี่เยซองน่ะหรือ” ซองมินเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้กับเพื่อนสนิทที่เคยโทรมาเล่าว่าจะไปเที่ยว แต่เขาก็ไม่ได้รู้หรอกว่าไปทำอะไรมา ซึ่งเหมือนคำถามนี้จะทำให้เรียวอุคเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือเรียวก็ทุบหมอนข้างตัวแรงๆ

            “ใช่ แล้วอย่าคิดว่ามันจะโรแมนติกอย่างของพี่ทึกกี้นะ ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก ใครจะรู้ว่าไอ้พี่เย่ขับเรือเป็น รายนั้นก็เลยพาออกไปนอกทะเลกันสองต่อสอง ไอ้เราก็ไม่คิดหรอกนะว่าไอ้พี่เย่มีแผน แล้วเรื่องนี้มันก็เกิดตอนที่ไปหยุดอยู่กลางทะเล มองไปทางซ้ายก็ทะเล ขวาก็ทะเล...” เรียวอุคเล่าอย่างแค้นๆ กับการเสียรู้เข้าขั้นสุดยอดกับแฟนตัวเอง...

            ในวันนั้น เมื่อเรือสปีดโบ้ทของคนรักจอดนิ่งท่ามกลางท้องทะเลที่สงบเงียบแล้ว เยซองก็เตรียมอาหารกลางวันมาเสียพร้อมทุกอย่างจนทำให้เรียวอุคอารมณ์ยิ่งดีขึ้นไปอีก ก็มันน่าประทับใจจะตาย กินอาหารเที่ยงกับคนรักกลางทะเลโดยไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย ลมทะเลเย็นๆ ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก

            ตัวเล็กกินนี่นะ อร่อยอย่าบอกใครเลย พี่เย่เตรียมมาให้โดยเฉพาะเยซองจัดการส่งเครื่องดื่มสีสวยที่ดูก็รู้ว่ามีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งในตอนที่อารมณ์ดีๆ เรียวอุคก็รับไปอย่างว่าง่าย เพราะหลังจากคบกับคนรักคนนี้ เขาก็ดื่มเก่งขึ้นเยอะ แค่เครื่องดื่มไม่กี่แก้ว ไม่ทำให้คนอย่างคิมเรียวอุคน็อกได้หรอก

            และหลังจากที่ทั้งสองจัดการอาหารกลางวันอย่างไม่เร่งรีบเรียบร้อย ในจังหวะที่คนตัวเล็กตัดสินใจจะกระโดดลงน้ำไปแหวกว่ายดูใต้ท้องทะเลเสียหน่อย ร่างกายกลับร้อนขึ้นจนต้องตวัดสายตาไปมองคนรักที่กำลังยิ้มกริ่มอย่างชอบใจ

            อย่าบอกนะพี่เย่...

            ‘งั้นพี่ไม่บอกก็ได้...อ้ะๆ ตัวเล็กอย่าทำหน้าเหมือนอยากฉีกอกพี่สิ ก็พี่กลัวตัวเล็กไม่ประทับใจกับการมาเที่ยวของเราหนนี้ก็เลย...หยดไอ้นี่ลงไปนิดเดียวเองเยซองว่าพลางชูขวดอะไรเล็กๆ ที่ทำให้กระรอกแสบอ้าปากค้าง ร่างกายร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที จำได้ว่ามันเป็นยาปลุกเซ็กส์ที่เขาเคยบอกคนรักว่าอยากลองสักที แต่ก็นั่นแหละ ทีเดียวเลิกเพราะกว่ายาจะหมดฤทธิ์ก็โคตรเหนื่อย ใครจะคิดว่าเจ้าผัวตัวดี พกมันมาเที่ยวด้วยล่ะ

            ฉันจะฆ่าพี่!!!’ เสียงที่ควรจะโกรธจัดกลับแหบพร่ายั่วยวนอารมณ์คนฟัง ร่างกายที่นึกอยากจะถลาไปตบแก้มอูมๆ กลับขยับถอดเสื้อผ้าตัวเองไปทีละชิ้น จนชายหนุ่มยกยิ้มกว้าง

            จะฆ่าพี่จริงอ่ะ ถ้าฆ่าพี่ก็ไม่มีคนช่วยตัวเล็กสิครับคนกวนประสาทก็ไม่วายแหย่คนรักที่แทบจะอ้าแข้งอ้าขารออยู่แล้ว จนเรียวอุคบอกเสียงสั่น

            ฉะ...ฉันจะฆ่าพี่จริงๆ ถ้าไม่มาช่วยตอนนี้เลย ฮื่อ...มันร้อนไปหมดแล้วเรียวอุคบอกอย่างทนไม่ไหว ซึ่งทำให้คนตัวโตก้าวเข้ามาอุ้มร่างที่ร้อนผ่าวของเขาไปวางอยู่บนหน้าคอนโทรลควบคุมเรือ ดวงตาคู่คมก็จ้องมองมา แล้วเอ่ยคำที่ทำให้ถ้าเป็นเวลาปกติ เรียวอุคคงกระซวกไส้ไปแล้ว

            ขอพี่สิรับตัวเล็ก ขอหวานๆ เอาแบบให้พี่อยากคลั่งตายน่ะ

            และสุดท้าย เขาก็ต้องทำตามที่ไอ้พี่เย่บอกทุกอย่าง ไม่เว้นแต่ร้องขอเสียงพร่า บอกความต้องการของตัวเองออกไปอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้

            “...แล้วพี่คิดดูนะ ไอ้พี่เย่เสร็จไปสี่รอบนะตอนนั้น ส่วนฉันนะ อย่าให้นับเลย เจอไอ้ยาเวรนั่นไปน่ะ” เรียวอุคเล่าอย่างแค้นๆ กับเรื่องราวที่แปลกพร้อมกับออฟชั่นเสริมมียาปลุกเซ็กส์อีกขวดที่ทำเอาฮีชอลถามอย่างเป็นห่วง


            “แล้ว...หลังจากนั้นเป็นยังไงบ้าง” คำถามที่กระรอกตัวแสบคลายสีหน้าโมโหลงแล้วหัวเราะเบาๆ

            “พี่ซินไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ทะเลาะอะไรกับไอ้พี่เย่หรอก ตอนนั้นแค่โมโหว่าดูถูกกันหรือที่ต้องใช้ยาปลุก อย่างคิมเรียวอุคน่ะ บิ๊วเอาล้วนๆ ไม่ต้องอาศัยของพวกนั้นก็ได้ สุดท้าย ฉันก็เลยห้ามให้พี่เย่มีอะไรด้วยอาทิตย์นึง เอาให้แห้งเหี่ยวไปเลย โทษฐานที่หาเรื่องเล่นไม่รู้เรื่อง” เรียวอุคบอกอย่างสะใจ เมื่อนึกถึงคนรักที่พยายามอ้อนยังไง เลิกกวนยังไง เขาก็ไม่หายโกรธ

            ก็บังอาจมาใช้ยากับเขาเลยนะนั่น

            “แล้วเหนื่อยมากมั้ย...” ฮยอกแจที่หน้าแดงไม่รู้จะแดงยังไงเอ่ยถามขึ้นมาบ้างอย่างอยากรู้ ก็เขาไม่เคยโดนนี่นา ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ ชีวิตนี้ขออย่าโดนเลยดีที่สุด

            “นายก็ขอให้พี่ฮันเอามาละ...” ลองกับนายสิ

          “นึกออกแล้ว ออนท๊อปกลางชายหาดไง!

            หืม

            แต่ก่อนที่เรียวอุคจะแซวเพื่อนไก่จบ คนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นตั้งนานก็ตะโกนโพล่งขึ้นมา ใบหน้าเรียวสวยเงยขึ้นมองด้วยรอยยิ้มกว้างประหนึ่งขบคิดโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดออก แล้วดงแฮก็คลานขึ้นมานอนบนเตียงพร้อมกับตุ๊กตาตัวใหญ่และขนมขบเคี้ยวอีกถุง

            “นี่ๆ ต่อไปตาด๊องนะ ด๊องคิดออกแล้วว่าที่ไหนที่แปลก” ดงแฮบอกอย่างร่าเริง ในเมื่อฟังเรื่องเล่าของเพื่อนกับพี่ไปแล้ว เขาก็เลยคิดออกว่ามีที่ไหนที่เข้าข่ายว่าแปลกได้บ้างจนต้องรีบพูดออกไปก่อน

            ท่าทางกะตือรือร้นอยากเล่าของปลาน้อยประจำชมรมอย่างที่ไม่จำเป็นต้องเค้นต้องข่มขู่ให้มากเรื่อง ทำให้ซองมินหัวเราะอย่างชอบใจ

            ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะเป็นลีดงแฮ

            “งั้นนายเล่าเลยด๊อง กลางหาดเลยหรือ ไม่มีคนอื่นเห็นหรือไง” ซองมินถามอย่างอยากรู้ซึ่งทำให้คนที่ควรจะเขินพยักหน้าหงึกหงัก เสียงใสก็ว่าเจื้อยแจ้วอย่างน่ารัก

            “ไม่มีคนอื่นหรอก มินมินจำบ้านพักของพี่คิบอมที่เคยจัดงานแต่งกันหนก่อนได้มั้ยล่ะ” แน่ล่ะว่าทุกคนจำได้อยู่แล้วถึงงานแต่งงานเล็กๆ ของคิมคิบอมและลีดงแฮที่เจ้าบ่าวเซอร์ไพรท์เจ้าสาวไม่ให้รู้ตัว งานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่นและมีแต่เพียงครอบครัวและเพื่อนฝูงร่วมกันอวยพร

            “หลังจากจบงาน พี่คิบอมกับด๊องก็อยู่ที่นั่นต่ออีกสองสามวันใช่มั้ยล่ะ คุณพ่อพี่คิบอมบอกว่าถือว่าเป็นฮันนีมูนเล็กกันก่อน แล้วคืนสุดท้ายที่อยู่ที่นั่นน่ะ ด๊องยังไม่อยากกลับ ทุกคนก็รู้นี่นาว่าด๊องชอบทะเล ชอบน้ำทะเล พอบอกพี่คิบอมว่าขอเล่นน้ำได้มั้ยฮะ พี่คิบอมก็เลยพาออกไป...”

            “ตอนนั้นกี่โมงๆ”

            “น่าจะประมาณสามทุ่มนะ แต่มันก็ไม่มืด พระจันทร์กำลังเต็มดวง มีแสงมาจากบ้านพักพี่คิบอมลงไปให้เห็นหาดทรายด้วย” ดงแฮเอ่ยปากเล่าพลางนึกถึงวันนั้น แล้วไม่รู้ว่าเพราะสายตาของเขามันหงอยมากเกินไปหรือเปล่า พี่คิบอมถึงพาลงไปเล่นน้ำเอาเวลานั้น...


            ในคืนวันนั้นทั่วทั้งหาดไม่มีใครอยู่สักคนเดียว มีเพียงแค่เราสองคนกับน้ำทะเลที่ซัดเข้ามากระทบหาด แสงจันทร์ก็สาดแสงลงมาให้ไม่มืดจนเกินไป จนดงแฮถลาลงไปจุ่มตัวในน้ำทะเลเย็นๆ ที่ซัดเข้ามาโดนร่าง ขณะที่พี่คิบอมก็อยู่ใกล้ไม่ห่าง ฝ่ามือใหญ่สอดรัดเข้าที่เอวบอบบางตลอดเวลา จนกระทั่งพวกเขาเปียกโชกไปทั้งตัว

          แล้วในยามที่ดงแฮเงยหน้าขึ้นมองพี่คิบอม เขาก็พึ่งสังเกตเห็นดวงตาคู่คมที่เข้มวาว และบ่งบอกถึง...ความต้องการ อาจจะเพราะตอนนั้นร่างเล็กสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของอีกฝ่ายกับกางเกงขาสั้น แล้วพอเปียกน้ำ เสื้อก็แนบไปกับลำตัวจนแลเห็นจุดเล็กๆ สีชมพูอ่อนทั้งสองข้างโดดเด่นขึ้นมา

          ใบหน้าคมคายที่บางส่วนซ่อนอยู่ในความมืดยิ่งทำให้พี่คิบอมมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งชายหนุ่มยังก้มหน้าลงมาชิดริมฝีปากได้รูป เพียงปัดผ่านเบาๆ เขาก็ร้อนวูบวาบเสียแล้ว มารู้ตัวอีกที พี่คิบอมก็กำลังครอบครองริมฝีปากนุ่มจนได้แต่ครางพร่าในลำคอ ฝ่ามือใหญ่ก็ลูบแผ่นหลังเปียกไปด้วยน้ำทะเลเบาๆ

          ฉันขอนะ ภรรยาของฉัน

          เสียงนุ่มทุ้มยังดังติดอยู่ในหู หลังจากที่พวกเขาทั้งคู่กอดจูบกันจนเสื้อตัวใหญ่หลุดไปถึงช่วงข้อศอกขาวผ่อง เผยเนื้อตัวช่วงบนให้พี่คิบอมแตะชิมไปทุกที่ คำถามที่ดงแฮได้แต่พยักหน้ารับอย่างขัดเขิน

          ฮะสิ้นคำตอบตกลง คิบอมก็อุ้มร่างเล็กขึ้นมาที่ชายหาด ริมฝีปากทั้งสองแนบชิดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสื้อผ้าที่เปียกโชกถูกถอดรั้งออกไปทีละชิ้น...ทีละชิ้น จนเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าของคนทั้งสอง

          ตอนนั้น แสงจันทร์ยามค่ำคืนและแสงไฟสลัวลางทำให้พวกเขาทั้งสองลืมเลือนทุกอย่าง ลืมว่าอยู่ที่ไหน ลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงว่า...มีกันและกัน

          และมารู้ตัวอีกที ดงแฮก็ถูกจับขึ้นไปอยู่เหนือเรือนร่างสูงใหญ่ ปล่อยเสียงครางพร่าออกมาไม่มีหยุดเพราะเหตุผลของคนรูปหล่อที่ห่วงใยเขาเสมอ

          ไม่อยากให้ผิวเธอถูกทรายบาด

          ท่ามกลางเสียงคลื่นที่ซาดสัดเข้ามากระทบฝั่ง แสงจันทร์ที่อาบไล้ผิวขาวราวน้ำนมสดที่แตะแต้มไปด้วยรอยแดงมีเพียงเสียงกระซิบบอกรักของคู่แต่งงานใหม่ที่เอ่ยไม่ขาดปาก

            “...”

            กลับมาสู่ปัจจุบัน คนทั้งห้องกำลังเงียบกริบ มองดงแฮที่กำลังเล่าเรื่องราวคืนนั้นออกมาเรื่อยๆ แล้วด้วยความที่เป็นดงแฮ คนหน้าหวานก็เลยจัดการเล่าซะละเอียดยิบว่าถอดเสื้อตอนไหน พี่คิบอมทำอะไรบ้าง เรียกว่าทำเอาคนหน้าไม่บางอย่างคู่หูชมรมคหกรรมหน้าแดงหูแดงเถือกไปหมดแล้ว

            “เรื่องก็มีเท่านี้ล่ะ แล้วก็ไปต่อกันในห้องน่ะ...อืม แปลกพอมั้ย” ดงแฮจบเรื่องของตัวเองด้วยการกวาดสายตามองคนในห้องที่ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น ก่อนที่แก้มขาวๆ จะเริ่มแดงเรื่อขึ้นมาทีละนิด

            “อ่า จริงๆ เรื่องพวกนี้ด๊องไม่ควรเล่าใช่มั้ยเนี่ย”

            “รู้สึกช้าไปแล้วนายน่ะ เล่ามาจบเรื่อง ทำเอาพวกเราหน้าแดงกันขนาดนี้...นายนี่น้า ไม่แปลกที่พี่คิบอมจะทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งหวง ไม่ยอมให้ไปไหนง่ายๆ” เรียวอุคที่ตั้งสติได้ก่อนบอกเสียงแหลม จนทำให้ดงแฮแก้มร้อนจัด ก็พอเอ่ยถึงพี่คิบอมทีไร มันก็เขินบอกไม่ถูกทุกที

            “จริงๆ ฉันอยากให้ด๊องเล่าต่อนะ คือหมอนี่เล่าแบบว่าเห็นภาพน่ะ จูบตรงไหน ซุกตรงไหน ไซ้ตรงไหน แต่เดี๋ยวพี่ซินจะเขินตายไปก่อน งั้นต่อไปใครดีเอ่ย...เอ สะใภ้คนจีนดีมั้ยน้า” ซองมินว่าอย่างขำๆ กับพี่ใหญ่ที่ยิ่งเขินก็ยิ่งจิบเบียร์ที่เขาส่งให้ แถมพอแซวหน่อยก็ค้อนให้เสียคอแทบเคล็ด จากนั้นก็เริ่มเหล่ลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่กำลังจะซุกผ้าห่มหนีอยู่แล้ว

            “ไม่เล่าฉันจะจับนายแก้ผ้าจริงๆ ด้วย”

            “พวกนายนี่!!! แกล้งฉันตลอดเลย” ฮยอกแจพึมพำเบาๆ ก่อนที่จะทำหน้าลำบากใจนิดๆ มือเรียวก็เกาท้ายทอยแก้เก้ออย่างไม่รู้จะเล่าอะไรดี

            “ฉันว่าพี่ฮันของนายน่าจะมีเรื่องให้เล่าเยอะนี่นา เล่ามาสักเรื่องเถอะ”

            “ใช่ พี่เห็นด้วยนะ อืม ฮันเขาดูน่าจะเป็นคนเปิดเผยน่ะ” อีทึกเสริมขึ้นมาอีกหน่อยที่ทำให้ฮยอกแจทำหน้าไม่ถูกก่อนจะส่ายหน้าเร็วๆ

            “เรื่องอื่นพี่ฮันเปิดเผยฮะพี่ทึกกี้ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้แน่ๆ...” ฮยอกแจตอบคำรุ่นพี่ตาสวย ก่อนจะหันไปมองเพื่อนที่เหลือ

            “...ฉันไม่มีที่แปลกจริงๆ นะ ฉันไม่ได้เอาเปรียบไม่ยอมเล่าด้วย แต่พี่ฮันกับฉันไม่เคยนอกสถานที่กันเลยสักครั้ง” คำพูดที่ทำให้เพื่อนๆ ดูจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะถาม จะขู่ยังไง ฮยอกแจก็ได้แต่บอกว่าไม่เคยทำนอกสถานที่จริงๆ แล้วยิ่งสบกับดวงตาเรียวรีที่ไม่ได้หลบสายตาก็บอกว่า...ฮยอกแจพูดจริง

            “ฮยอกพูดจริงนะ ด๊องช่วยยืนยันได้ พี่ฮันเป็นคนขี้หวง อันนี้พี่คิบอมเคยบอกด๊อง” ดงแฮแย้มยิ้มหวาน บอกเสียงใส ช่วยเพื่อนสนิทที่กำลังถูกต้อนจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ซึ่งทำให้ฮยอกแจพยักหน้าเร็วๆ เอ่ยเล่าลิ้นรัว

            “จริงๆ นะ แค่ไปซื้อเสื้อผ้ากับหม่าม๊าเพ่ยอิงแล้วฉันส่งเสียงไม่ให้หม่าม๊าช่วยถอด พี่ฮันก็ไล่คนออกหมดร้านเลย” เมื่อฮยอกแจยืนยันหนักแน่น แต่มีหรือที่สองสาวจะยอมแพ้ง่ายๆ ซองมินก็เลยพยักหน้ากับตัวเอง แล้วถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกนิด

            “ก็ได้ ฉันเชื่อก็ได้...งั้นเล่ามาว่าครั้งสุดท้ายที่มีอะไรกันมากกว่าห้าครั้งคือที่ไหน และบอกด้วยว่าตรงไหนบ้าง”

          ง่า ไก่อยากตาย ใครก็ได้มาตอบแทนที

            ฮยอกแจนึกอยากจะทึ้งหัวตัวเองสักที ยิ่งเมื่อสบสายตาที่ว่า ฉันต้องรู้ให้ได้ของเพื่อนก็ทำเอาภาพเมื่อยามที่กลับมาจากจีนวันแรกวิ่งวูบเข้ามาในหัว คืนนั้นน่ะมากกว่าห้า แต่เรื่องอะไรที่เขาจะตอบเล่า เอาแค่ตรงคำถามก็พอ

            “กะ...ก็ที่คอนโดพี่ฮัน วันที่ฉันกลับมาจากจีนน่ะ...”

            “อ้อ อารมณ์แบบคิดถึงบ้าน”

            “นั่นแหละ แบบนั้นเลย” ฮยอกแจรีบพยักหน้ารับ อะไรที่ไม่ลงลึก เขาก็ยอมเล่าหมดแหละ แต่ก็เพียงพักเดียว ก่อนที่ดงแฮจะถามเสียงใส

            “แล้วที่ไหนบ้างล่ะ”


            “กะ...ก็ ในห้องรับแขก...บนโซฟา...เคาน์เตอร์ครัว...” ยิ่งตอบ ฮยอกแจก็เล่าเสียงเบาลงเรื่อยๆ แก้มใสแดงก่ำเหมือนจะระเบิดเสียให้ได้ แต่ยิ่งเพื่อนๆ พากันจ้องไม่ยอมละไปไหน เขาก็ได้แต่เอ่ยปากบอกต่อไป

            “...คะ...เคาน์เตอร์บาร์...”

            “ที่สุดท้ายล่ะที่สุดท้าย เล่ามาๆๆ” เรียวอุคเร่งอย่างลุ้นๆ ก่อนที่ฮยอกแจจะก้มหน้าคางแทบชิดอกแล้วบอกเสียงเบายิ่งกว่า

            “นะ...หน้าประตห้องนอน ง่า ครบแล้ว ของฉันผ่านแล้ว” ฮยอกแจรีบบอกเสียงสั่น ใบหน้าสวยก็ซุกกับหมอนที่ตัวเองกอดอยู่ไปเรียบร้อยแล้ว แก้มก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ มือไม้เกะกะขึ้นมาทันตา ในเมื่อ คืนวันนั้นมันไม่หยุดเท่านั้นนี่นา

          เหนื่อยแล้วหรือ หืม ยังไม่ทั่วห้องเลย

          เสียงนุ่มทุ้มของฮันคยองกระซิบเบาๆ ริมหู ยามที่ร่างสูงใหญ่ยืนซ้อนหลังอยู่หน้าประตูห้องนอน ฝ่ามือใหญ่ก็ช้อนขาเรียวเอาไว้มั่น ประคองไม่ให้ร่างเล็กๆ ทรุดไปกองกับพื้น ใบหน้าคมคายก็ขยับซุกเข้าที่ซอกคอชื้นเหงื่อแล้วพรมจูบเบาๆ

          พะ...พี่เอาจริงหรือฮะ ถ้าเอาจริง นี่มันยังไม่ถึงครึ่งเลย...ฮยอกแจได้แต่ถามเสียงสั่นสะท้าน เนื้อตัวก็หวิวไหวไปหมดกับสัมผัสของฝ่ามือที่ไล้วนอยู่ตรงแผ่นท้องขาวผ่อง ปลุกเร้าความต้องการที่เพิ่งปลดปล่อยไปให้กลับมาอีกครั้ง

          ‘ก็เวลาที่ฉันกอดเธอ ฉันจะรู้สึกว่าต้องการมากกว่านี้ อยากกอดมากกว่านี้ เธอทำให้ฉันเป็นคนโลภนะฮยอกแจ

          ฟึ่บ

          ว่าจบ มาเฟียหนุ่มก็จัดการอุ้มเมียคนสวยไปอีกทิศทางหนึ่ง บ่งบอกว่าคืนวันนั้นน่ะไม่มีทางจบลงง่ายๆ เป็นแน่ แล้วหลังจากนั้นอย่าหวังเลยว่าคนตัวเล็กจะอยู่บน ได้แต่นอนหมดเรี่ยวแรง ปล่อยให้พี่ฮันนำทางไปจวบจนเช้าวันใหม่นั่นแหละ

          แล้วให้ตายเถอะ ยังไงไก่ก็เล่าไม่ได้ ถ้าเล่าไปได้หน้าระเบิดบึ้มเพราะเขินแน่ๆ

            ฮยอกแจบอกกับตัวเองเบาๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่จะมีใครถามคำถามเจาะลึกกับเขา มือเรียวก็สะกิดแขนของซองมินยิกๆ

            “ฉันผ่านแล้ว ตานายนะมินมิน” จัดการโยนให้เพื่อนเสร็จ ฮยอกแจก็ขยับมากอดเพื่อนซี้อย่างดงแฮแน่น ให้คนน่ารักของท่านประธานคิมหัวเราะเสียงใส ใบหน้าน่ารักทั้งสองก็มองเพื่อนกระต่ายที่วนมาถึงตาตัวเองบ้าง

            “มา ตาฉันแล้วก็ได้...อืม ของฉันไม่ใช่ที่แปลกนะ เอาเป็นว่าเริ่มแปลกแล้วกัน” ซองมินบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางนึกเรื่องของตัวเองบ้าง แต่เหมือนว่าคำพูดนี้จะทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้

            “เริ่มแปลกคืออะไรล่ะ” ฮีชอลถามอย่างสงสัยจนทำให้เจ้าของเรื่องหัวเราะคิก

            “ก็เริ่มตอนที่คยูเล่นวอร์คาร์ฟพร้อมกับกอดฉันน่ะพี่ซิน เสียบหูด้วยนะ” ซองมินเล่าอย่างขำๆ พลางนึกถึงตอนที่ไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์ของเขาเล่นเกมติดพันไม่ยอมลุกไปไหน แล้วเกมยอดฮิตอย่างวอร์คาร์ฟก็เล่นออนไลท์ เจ้าตัวเล่นเปิดลำโพงเสียงดัง ลำคอก็มีเฮดโฟนอันใหญ่ครอบหูอยู่ บ่งบอกว่าพูดคุยกับคนในทีมผ่านเสียงแน่ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นมาหลายชั่วโมง จนกระทั่งซองมินนึกหมั่นไส้

            ร่างเล็กของๆ กระต่ายตัวน้อยที่เดินมาด้านหลังคนรัก แล้วเห็นกำลังเมามันกับการตะโกนสั่งอะไรที่เขาไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกยังไง คยูฮยอนก็ยังติดพันกับเกม จนเขาต้องยู่ปากอย่างไม่พอใจ แล้วความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมา ร่างเล็กก็เลย...จัดการคลานลงไปที่ใต้โต๊ะ

            ซองมินทำอะไรน่ะ!!’ คยูฮยอนถึงกับสะดุ้งน้อยๆ เมื่อคนรักแสนสวยของตัวเองคลานลงอยู่ใต้โต๊ะ จนนึกว่าเมียโกรธจนจะดึงปลั๊กไฟของเขาทิ้งหรือเปล่า แต่กระต่ายตัวน้อยกลับแย้มยิ้มหวาน มือเล็กๆ ก็วางแปะที่ต้นขาของคนรักทั้งสองข้าง

            คิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ

            ‘ขออีกเกมนะ ใกล้จบแล้วด้วยคยูยอนรีบบอก เมื่อฝ่ายของตัวเองที่เล่นเกมอยู่กำลังจะได้ชัยชนะมาในกำมือ ทั้งที่คนอื่นอาจจะหงุดหงิดที่เมียมายุ่มย่ามตอนกำลังเล่นเกม แต่ไม่ใช่กับคยูฮยอน แน่ล่ะ จะมีเกมไหนเล่นแล้วมันเท่าเมียตัวเองไม่มีแล้วล่ะ อีกอย่าง...กระต่ายโกรธนี่หมายถึงนรกมาเยือนเลยนะ

            เปล่า นายก็เล่นเกมไปสิ ฉันก็จัดการเรื่องของฉัน อ้อ ถ้าไม่อยากให้อะไรหลุดออกไปก็ปิดลำโพงนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนซองมินว่าด้วยรอยยิ้มหวาน แล้วก็จัดการ...

            ฟึ่บ

            ดึงกางเกงนอนของคนรักลงมาอย่างที่คนเจ้าเล่ห์ก็งุนงงเพียงครู่เดียว แต่หลังจากนั้นก็ได้แต่ยกสะโพกขึ้นให้กระต่ายตัวน้อยดึงกางเกงไปโดยง่าย เกมที่ว่าสนุกเหมือนจะสู้ดวงตามากความหมายของซองมินไม่ได้เสียแล้ว แล้วหลังจากนั้น คนในเกมก็ได้ยินเสียงแม่ทัพใหญ่จอมวางแผนอย่างคยูฮยอนร้องออกมาว่า

            ซี๊ดดดด สุดยอดเลย...

            แล้วคยูฮยอนก็หลุดออกจากเกมอย่างที่ไม่สามารถติดต่อได้เป็นเวลาอีกหลายชั่วโมง ที่แน่ๆ ซองมินรู้สึกว่าเกมนี้...เขาเนี่ยล่ะชนะที่ทำให้หมาป่าตัวร้ายหยุดทุกสิ่ง แล้วนั่งให้เขาจัดการ

            “แรงอ่ะ มินมิน ตอนนั้นใช่ตอนพี่เย่กับพี่คยูอยู่ปีสี่ใช่มั้ย ฉันจำได้ว่าพี่เย่โวยวายใหญ่เลยที่อยู่ๆ พี่คยูก็หายออกไปจากเกมซะเฉยๆ เห็นว่าสุดท้ายชนะก็ยังน่าเจ็บใจอยู่ดี แล้วพี่เย่ยังบอกว่าพี่คยูน่ะเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมบอกอะไรเลยว่าหายไปไหน” เรียวอุคถึงกับลืมตาโพลงกับการกระทำของเพื่อนสนิท แต่เหมือนว่าจะทำให้คนอื่นอ้าปากค้างไปแล้ว

            ก็แหม แม้ไม่แปลกสถานที่ แต่ก็เริ่มแปลกจริงๆ ด้วยนี่นะ

            ฟึ่บ

            พอจบเรื่องของเพื่อนๆ ทุกคนแล้ว ทุกสายตาก็หันไปมองเจ้าหญิงคนสวยที่ยิ้มแห้งๆ แก้มใสแดงระเรื่อไม่รู้ว่าเขินจากเรื่องที่ได้ฟัง หรือเจ้าเบียร์ที่ซดแก้เขินไปจนหมดกระป๋องนั่น ใบหน้าเรียวก็ก้มน้อยๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ

            ในเมื่อทุกคนก็เล่ามาแล้ว ถ้าเขาไม่เล่ามันก็ไม่ควรนี่นะ

            “ของพี่บนเคาน์เตอร์ที่ร้าน”

            “ห๊า!!!” สาบานได้ว่าแม้แต่อีทึกก็อุทานอย่างตกใจ เมื่อฮีชอลที่รวบรวมความกล้าเอ่ยโพล่งขึ้นมาแต่ทำให้เงียบกันเสียทั้งห้อง อีกทั้งสถานที่ก็ทำเอาพูดไม่ออกจริงๆ
           
            “ตอนไหนน่ะซิน นายเนี่ยนะ แล้วร้านเราก็กระจกทั้งร้าน คนอื่นมองมาก็เห็นหมดนะ” อีทึกถามอย่างงุนงง ที่ทำเอาคนเล่าหัวเราะแห้งๆ แต่เหมือนการมีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ ทำให้เจ้าหญิงคนสวยเอ่ยเล่าออกมาด้วยเสียงที่เบาแสนเบา

            “ก็...ก็วันนั้นฉันบอกว่าจะค้างที่ร้านน่ะ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าซีวอนจะมาค้างด้วย แต่ตอนประมาณสี่ทุ่มมั้ง ซีวอนก็โทรมาบอกว่าอยู่ข้างนอก แถมยังเอาไวน์มาขวดใหญ่ด้วย เห็นว่าโครงการที่เป็นคนรับผิดชอบผ่านไปด้วยดีน่ะ เลยอยากมาฉลองด้วยกัน”

            “แล้วพี่ก็เมา แต่ยังไงร้านก็เป็นกระจกนี่นา” ประเด็นที่ทุกคนสงสัยพลางนึกถึงร้านขนมแสนน่ารักที่ล้อมรอบไปด้วยกระจกที่ทำให้เห็นบรรยากาศภายในร้านได้ จนฮีชอลรีบส่ายหน้าเร็วๆ

            “มะ...ไม่หรอก เวลาที่ปิดไฟกับเป็นเวลาตอนกลางคืน คือกระจกที่ร้านจะทำให้มองเห็นข้างนอกได้ แต่ข้างนอกมองเข้ามาไม่ได้น่ะ” ฮีชอลอธิบายเบาๆ พลางนึกถึงวันที่เขาไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าขนาดนั้น

            จนได้แต่โทษว่าเป็นเพราะ...ไวน์ขวดนั้น

            ไวน์แดงที่เขาและซีวอนดื่มจนหมดขวด แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นคนตัวโตก็เถอะ แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าอารมณ์ไหนถึงนั่งดื่มกันไปแล้วปิดไฟเสียมืดสนิท มองผู้คนที่เร่งรีบเดินทางกลับบ้านอย่างเพลินๆ เสียงพูดคุยก็ดังเบาๆ ไปเรื่อยๆ

            หมับ

            คิดถึงคุณจังเลยครับซินซีวอนที่จัดการเก็บแก้วไปไว้หลังร้านแล้วเดินมาโอบเข้าที่เอวบอบบางของคนที่นั่งมองผู้คนเดินผ่านไปมา ใบหน้าคมคายก็ขยับมาซุกที่ซอกคอหอม แล้วกดจูบเบาๆ อย่างแสนรักใคร่ ให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงหมุนตัวไปมอง

            ใบหน้าสวยที่แดงระเรื่อ ทั้งยังฉ่ำหวานกว่าปกติ ทำให้ซีวอนอดไม่ได้จะขยับไปกดจูบที่เรียวปากสีระเรื่ออย่างเบาแรง อย่างทะนุถนอมแบบที่ทำเสมอมา จูบหวานๆ ที่ร้อนแรงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์จนต่างฝ่ายต่างประกบจูบเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร นาน...จนไม่รู้เหมือนกันว่านานแค่ไหน

            กอดฉันนะซีวอนแล้วอาจจะเพราะฤทธิ์ของดวงตาคู่คมที่ทอดมองอย่างแสนรักก็ได้ที่ทำให้เจ้าหญิงคนสวยเอ่ยออกไปราวกับเสียงละเมอ คำที่ทำให้ซีวอนนิ่งอึ้งไปครู่ แต่ก็เพียงพักเดียว ก่อนที่อ้อมแขนอบอุ่นจะยกร่างเล็กขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ พร้อมกับใบหน้าคมคายที่ขยับเข้ามา

            ผมรักคุณ เจ้าหญิงของผม

            และคืนนั้นก็เป็นคืนที่ฮีชอลตื่นเต้นกับบทรักของคนรักแทบบ้า ดวงตาคู่สวยก็เห็นว่าผู้คนเดินผ่านไปมาหน้าร้าน แม้จะรู้ว่าเขามองเข้ามาไม่เห็น แต่เขาก็อายเหลือเกิน อายจนมีอารมณ์มากกว่าปกติ เรียกว่าตื่นเช้ามาแทบไม่กล้ามองหน้าซีวอนเลยทีเดียว

            “เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ ไม่เอา ไม่เล่าแล้ว” ฮีชอลส่ายหน้าเร็วๆ บอกว่ายอมเท่านี้นะ ไม่เล่าอะไรมากกว่านี้นะ จนทำให้เรียวอุคหัวเราะเบาๆ แล้วหันมาหาอีทึกที่ยังทำหน้าแปลกใจอยู่

            “พี่ทึกกี้ เอาไว้วันไหนร้านปิด ฉันขอยืมนะ อยากรู้ว่ามันจะตื่นเต้นขนาดไหน”

            เพี๊ยะ!!

            “คิมเรียวอุค” ฮีชอลตีไหล่ของรุ่นน้องแรงๆ ฟันคมกัดริมฝีปากล่างแน่น ท่าทางของคนเรียบร้อยที่กลายเป็นว่าที่แปลกกว่าชาวบ้าน ทำเอาหลายคนพากันหัวเราะอย่างเห็นขำ

            เสียงใสๆ ของคนทั้งหกที่พูดคุยกันอย่างลืมเวลา เหมือนย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ยังไม่มีใครก้าวเข้ามาในชีวิต แต่ในเมื่อตอนนี้มีใครบางคนที่เข้ามามีอิทธิพลกับหัวใจแล้ว ดวงตาหลายคู่ก็อดจะมองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงของดงแฮไม่ได้

            “ว่าแต่ ตีสองครึ่งแล้ว ป่านนี้พวกคังอินจะทำอะไรกันอยู่นะ” อีทึกเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกเป็นห่วงคนรัก ซึ่งเหมือนจะทำให้ลายคนสงสัยไม่ยากเย็น หรือเอาจริงๆ กำลังวางแผนปีนบ้านดงแฮอยู่ แต่มาคิดอีกที...ถ้าทำงั้นจริงคงเสียมาดน่าดู

            “อ้อ เมื่อกี้พี่คิบอมบอกว่าจะไปผับของพี่ฮันฮะ สงสัยตอนนี้ยังอยู่ที่โน่นล่ะมั้ง” แล้วดงแฮก็เป็นคนเฉลยข้อสงสัย พร้อมกับชูโทรศัพท์มือถือเครื่องสำรองขึ้นมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก็พี่คิบอมบอกเขาก่อนที่เขาจะหันมาคุยกับเพื่อนนี่นะ

            คำพูดที่ทำให้ซองมินและเรียวอุคอดจะคิดเหมือนกันไม่ได้

            “ไม่ใช่ว่านั่งนินทาพวกเราเหมือนที่เรานั่งคุยเรื่องพวกนั้นหรอกนะ” คำถามที่แต่ละคนอดจะคิดเหมือนกันไม่ได้

            นั่นสินะ ป่านนี้ชายหนุ่มผู้พ่ายแพ้ทั้งหกกำลังทำอะไรกันอยู่


...........................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น