Special CL_8
ปาร์ตี้ชุดนอน 2
ภายในห้องนอนแสนน่ารักของลีดงแฮมีบรรยากาศที่แสนกดดัน
(สำหรับคิมฮีชอล) เมื่อคนทั้งกลุ่มเอาแต่จ้องใบหน้าเรียวสวยไม่วางตา
ดวงตาแต่ละคู่บ่งบอกชัดเจนว่าอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย แน่ล่ะ
เรื่องของคนขี้อายกับสุภาพบุรุษเชวน่ะ นานๆ ทีจะหลุดจากปากของพี่คนสวยนี่นะ
“ไม่เล่า...ได้มั้ย”
“อุคกี้ เปิดเบียร์ กรอกไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวก็หลุดออกมาเองนั่นแหละ” สิ้นคำของฮีชอล ซองมินก็บอกเพื่อนซี้ที่ทำตามทันที
ท่าทางสนุกของรุ่นน้องทั้งสองทำเอาคนต้องเล่าค้อนขวับ
“ก็พี่ไม่รู้จะเล่าอะไรนี่นา
น่าอายจะตาย” ฮีชอลที่แก้มแดงเรื่อ แต่พยายามทำตาดุรุ่นน้องที่มองยังไงก็สวยสุดๆ จนไม่แปลกใจที่คุณชายบางคนจะถนอมยิ่งชีพ
ยอมแม้แต่แห้งเหี่ยวตายก่อนจะได้ลิ้มรสความหอมหวานชั้นเลิศตรงหน้า
ท่าทางลำบากใจไม่น้อยที่ทำให้คนทั้งกลุ่มหันมามองหน้ากัน
รู้แหละว่าแค่ฮีชอลยอมเอ่ยปากตกลงด้วยก็ว่ายากแล้ว
“งั้นข้ามซินก่อนมั้ย
เดี๋ยวฟังเรื่องของคนอื่นก็จะได้ไม่เขินเท่าไหร่ไง แต่ละคนก็คงมีที่แปลกล่ะมั้ง”
อีทึกจับมือเพื่อนแล้วบีบเบาๆ จนคนเขินพยักหน้าแรงๆ อย่างน้อยก็มีเวลาทำใจ
ซึ่งคำตัดสินนี้ก็ทำให้คู่หูชมรมคหกรรมหันไปมองปลาน้อยที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนพื้นอีกที
“อืม...ที่แปลกหรือ ที่แปลก
ที่ไหนน้า”
ท่าทางคิดจริงจังของคนหน้าหวานที่ทำให้แต่ละคนยอมปล่อยคนที่น่าเค้นถามไปก่อน
ก็แหม
ชีวิตรักของเจ้าชายน้ำแข็งคิมคิบอมเวลาอยู่บนเตียง...น่าสนใจน้อยเสียเมื่อไหร่
“พี่ทึกกี้รู้แล้วหรือฮะว่าจะเล่าเรื่องไหน”
ฮยอกแจที่กลัวเหลือเกินว่าอาจจะเหยื่อรายแรก กระซิบถามรุ่นพี่ตาสวยเบาๆ
ใบหน้าเรียวก็แดงก่ำ จนทำให้อีทึกลูบหัวน้องน้อยอย่างเบามือ
“อืม ว่ากันตามจริง พี่ก็มีล่ะมั้ง”
“งั้นเล่าเลย พี่เล่าเลยๆๆ”
สิ้นคำของอีทึก เรียวอุคก็โผเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ก็นานๆ ทีพี่ทึกกี้จะยอมตามใจพวกเขาง่ายๆ
อย่างนี้นี่นา ท่าทางอยากรู้อยากเห็นที่ทำให้นางฟ้าของหมีนักษ์แก้มแดงหน่อยๆ
เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องอายนะ
ในเมื่อคังอินอ่อนโยนกับเขาเสมอ ใครจะคิดล่ะว่าผู้ชายแรงเยอะ ชอบใช้กำลังน่ะ
เวลาอยู่บนเตียงกลายเป็นคนที่ชอบห่วงใย กลัวว่าแรงไป กลัวว่าเขาจะเจ็บหรือเปล่า
เพียงแค่คิดถึง แก้มใสก็แดงอย่างน่าดู
นัยน์ตาคู่สวยเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“อืม พี่ก็ไม่ค่อยมีที่แปลกหรอก
ส่วนใหญ่ก็ในคอนโดของคังอินนั่นแหละ เวลาไปเที่ยวกันก็ในห้องพักตลอด แล้วถ้าเป็นในห้องน้ำมันก็ไม่แปลกใช่มั้ยล่ะ”
เมื่ออีทึกหันมาถามน้องๆ ทั้งหลาย แต่ละคนก็กดหน้ากันหงึกหงัก ทำนองว่าห้องนั้นน่ะ
อย่างน้อยๆ มันก็ต้องเคยกันบ้างแหละน่า
“งั้นที่ไหนล่ะฮะ” ฮยอกแจถามอย่างอยากรู้
ศีรษะได้รูปก็ขยับมานอนหนุนตักพี่ใหญ่ ซึ่งทำให้อีทึกแก้มแดงจัด
“อืม...ในรถน่ะ” คนตาสวยตอบคำเบาๆ
ซึ่งทำให้พวกอยากรู้อยากเห็นถามกันต่ออย่างสงสัยว่ามันไปอะไร ยังไง
ทำไมเริ่มต้นกันในรถ เพราะว่ากันตามจริง ในรถสำหรับทั้งซองมิน
ทั้งเรียวอุคก็ธรรมดานั่นแหละ แต่สำหรับพี่ทึกกี้คนสวยที่จริงๆ ขี้อายยิ่งกว่าใครแล้ว
มันก็น่าตื่นเต้นใช่มั้ยล่ะ
“ก็ตอนนั้นน่ะ พอดีว่าคังอินเลิกงานดึกก็เลยไปรับพี่ที่ร้านช้า
แล้วพี่เห็นเขาเครียดๆ กับงานก็เลยถามว่าไปนั่งรถเล่นกันก่อนมั้ย...”
อีทึกเล่าพลางก้มหน้าน้อยๆ เรียวปากยกยิ้มหวาน
ขณะที่นึกย้อนไปเมื่อประมาณปีก่อนที่เขาและคังอินนั่งรถเล่นไปไกลถึงชุนชอน
อากาศเย็นๆ ที่คนรักของเราเปิดหลังคารถสปอร์ตคันหรูให้สายลมเย็นพัดปะทะใบหน้า
ระหว่างนั้น เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งเรื่องงานของคังอิน งานที่ร้านของเขา
มารู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่เขตของชุนชอนแดนแห่งทะเลสาบเสียแล้ว
‘ดาวที่นี่สวยเนอะ’
อีทึกว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวที่พราวระยับบนฟ้ากว้าง
ขณะที่พวกเขาจอดรถอยู่ริมทะเลสาบกว้างใหญ่ที่ไร้ผู้คน บรรยากาศเงียบๆ
ที่มีเพียงไฟทางไม่กี่ดวง แต่มันกลับไม่น่ากลัวเลยสักนิด
เมื่อข้างกายมีผู้ชายคนนี้
หมับ
‘หนาวมั้ย ฉันขอโทษ
นั่งตากลมมาตั้งนาน ดูสิ ตัวเย็นเฉียบเลย’ แต่เหมือนคังอินจะสนใจใบหน้าสวยที่ซีดขาวเสียมากกว่า
ฝ่ามือใหญ่ถึงขยับมาแตะที่แก้มใสที่เย็นเฉียบ
แล้วจัดการดึงร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอดอุ่น
‘ไม่หนาวหรอก
ก็นายกอดฉันอยู่นี่นา’ อีทึกว่าด้วยรอยยิ้มหวาน
ยามที่ขยับหน้าเข้าซุกกับแผ่นอกอุ่นๆ ของคนรักอย่างไม่เกี่ยงงอน
มือเรียวก็กอดเอวสอบแน่น ถ้อยคำน่ารักๆ ที่ทำให้หมียักษ์นิ่งไปพักใหญ่...นานจนคนตาสวยต้องเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง
จนพบกับ...รอยยิ้มกว้าง...ทั้งปากและนัยน์ตา
‘เธอน่ารักให้หน่อยกว่านี้หน่อยสิทึกกี้
แค่นี้ก็รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว’ คำพูดตรงๆ
ของคนตัวโตที่ทำให้ใจดวงน้อยเต้นแรง ดวงตาทั้งสองคู่สบกันนิ่ง ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะขยับมากดจูบที่เรียวปากแสนหอมหวาน
จูบที่พวกเขาต่างเต็มใจเหลือเกินให้มันเกิดขึ้น
แต่ครั้งนี้...มันกลับไม่หยุดลงเพียงจูบเช่นทุกที
ฝ่ามือแข็งแรงก็ขยับสอดเข้าที่ชายเสื้อเนื้อนุ่ม
จนอีทึกตัวสั่นน้อยๆ หากแต่เรียวปากที่เจอรสจูบแสนร้อนแรงก็ทำให้ร่างกายได้แต่โอนอ่อนอย่างไร้แรงจะต่อต้าน
มารู้ตัวอีกที เขาก็ถูกจับให้ขึ้นไปคร่อมทับร่างคนรักตรงที่นั่งคนขับเสียแล้ว
ค่ำคืนนั้นที่มีเพียงดวงดาวบนฟ้ากว้าง
แสงไฟอ่อนจางในความรู้สึก กับความรักที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้แก่กัน
ประสานไปกับเสียงครางกระเส่าหวานที่คลอเคลียไปกับเสียงธรรมชาติ
ที่ไม่ว่านึกถึงกี่ครั้ง...ก็ยังหวานละมุนอยู่เสมอ
“เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ”
อีทึกเล่าเสียงเบา แต่อย่างน้อยก็ไม่หลุดรายละเอียดบางอย่างที่แสนน่าอายออกมา
บางสิ่งมันก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับของเราสองคน...ใช่มั้ยล่ะ
“โรแมนติกจังเลย อากาศเย็นๆ
กับความอบอุ่นของคนสองคน” ฮยอกแจที่นอนหนุนตักรุ่นพี่อยู่บอกด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
แก้มใสก็แดงจัด นึกภาพคนสองคนที่ทำให้เขินอย่างบอกไม่ถูก
“พี่คังอินดูอ่อนโยนชะมัดเลย
ไม่เห็นเหมือนไอ้พี่เย่เลยสักนิด รายนั้นเสียบได้เป็นเสียบ กระแทกได้เป็นกระแทก!”
เรียวอุคโพล่งขึ้นมาทันที กับเรื่องเล่าของรุ่นพี่
ซึ่งแม้จะไม่ได้เล่าว่าก่อนจะถึงขั้นนั้น พูดอะไร ขออะไร แต่แหม
มันก็พอเดาได้นี่นะ มองจากหน้าแดงๆ ของพี่ทึกกี้ก็รู้แล้วแหละ
อีกอย่าง พี่คังอินกลายเป็นผู้ชายว่าง่ายก็ตอนอยู่กับเมียเนี่ยล่ะ
“งั้นเรื่องของอุคกี้เป็นไงหรือ”
ดงแฮที่กลับไปนอนตีขาไปมาบนพื้นพรมอีกแล้วถามด้วยรอยยิ้มกว้าง
ทั้งที่เมื่อนาทีก่อนยังเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของพี่คิบอมอยู่เลย
ก็ด๊องคิดไม่ออกนี่นา
ที่แปลกคือตรงไหนล่ะ ก็ถ้าพี่คิบอมอยากกิน ด๊องก็ให้กินนี่นะ
แต่ดูเหมือนคำถามของเพื่อนจะทำให้เรียวอุคยู่ปากหน่อยๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องของเขาบ้าง ไอ้ประเภทถามเสียงนุ่ม เล้าโลมอย่างอ่อนโยน
อย่าไปนับรวมไอ้พี่เย่เลย รายนั้น กวนประสาทจนได้เรื่องทุกที
“ของฉันบนเรือสปีดโบ้ทกลางทะเลน่ะ”
“อ้อ
วันนั้นที่นายบอกว่าจะไปเที่ยวทะเลกับพี่เยซองน่ะหรือ” ซองมินเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้กับเพื่อนสนิทที่เคยโทรมาเล่าว่าจะไปเที่ยว
แต่เขาก็ไม่ได้รู้หรอกว่าไปทำอะไรมา ซึ่งเหมือนคำถามนี้จะทำให้เรียวอุคเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มือเรียวก็ทุบหมอนข้างตัวแรงๆ
“ใช่ แล้วอย่าคิดว่ามันจะโรแมนติกอย่างของพี่ทึกกี้นะ
ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก ใครจะรู้ว่าไอ้พี่เย่ขับเรือเป็น
รายนั้นก็เลยพาออกไปนอกทะเลกันสองต่อสอง ไอ้เราก็ไม่คิดหรอกนะว่าไอ้พี่เย่มีแผน แล้วเรื่องนี้มันก็เกิดตอนที่ไปหยุดอยู่กลางทะเล
มองไปทางซ้ายก็ทะเล ขวาก็ทะเล...” เรียวอุคเล่าอย่างแค้นๆ กับการเสียรู้เข้าขั้นสุดยอดกับแฟนตัวเอง...
ในวันนั้น เมื่อเรือสปีดโบ้ทของคนรักจอดนิ่งท่ามกลางท้องทะเลที่สงบเงียบแล้ว
เยซองก็เตรียมอาหารกลางวันมาเสียพร้อมทุกอย่างจนทำให้เรียวอุคอารมณ์ยิ่งดีขึ้นไปอีก
ก็มันน่าประทับใจจะตาย กินอาหารเที่ยงกับคนรักกลางทะเลโดยไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย
ลมทะเลเย็นๆ ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
‘ตัวเล็กกินนี่นะ
อร่อยอย่าบอกใครเลย พี่เย่เตรียมมาให้โดยเฉพาะ’ เยซองจัดการส่งเครื่องดื่มสีสวยที่ดูก็รู้ว่ามีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
ซึ่งในตอนที่อารมณ์ดีๆ เรียวอุคก็รับไปอย่างว่าง่าย เพราะหลังจากคบกับคนรักคนนี้
เขาก็ดื่มเก่งขึ้นเยอะ แค่เครื่องดื่มไม่กี่แก้ว
ไม่ทำให้คนอย่างคิมเรียวอุคน็อกได้หรอก
และหลังจากที่ทั้งสองจัดการอาหารกลางวันอย่างไม่เร่งรีบเรียบร้อย
ในจังหวะที่คนตัวเล็กตัดสินใจจะกระโดดลงน้ำไปแหวกว่ายดูใต้ท้องทะเลเสียหน่อย
ร่างกายกลับร้อนขึ้นจนต้องตวัดสายตาไปมองคนรักที่กำลังยิ้มกริ่มอย่างชอบใจ
‘อย่าบอกนะพี่เย่...’
‘งั้นพี่ไม่บอกก็ได้...อ้ะๆ
ตัวเล็กอย่าทำหน้าเหมือนอยากฉีกอกพี่สิ
ก็พี่กลัวตัวเล็กไม่ประทับใจกับการมาเที่ยวของเราหนนี้ก็เลย...หยดไอ้นี่ลงไปนิดเดียวเอง’
เยซองว่าพลางชูขวดอะไรเล็กๆ ที่ทำให้กระรอกแสบอ้าปากค้าง ร่างกายร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที
จำได้ว่ามันเป็นยาปลุกเซ็กส์ที่เขาเคยบอกคนรักว่าอยากลองสักที แต่ก็นั่นแหละ
ทีเดียวเลิกเพราะกว่ายาจะหมดฤทธิ์ก็โคตรเหนื่อย ใครจะคิดว่าเจ้าผัวตัวดี
พกมันมาเที่ยวด้วยล่ะ
‘ฉันจะฆ่าพี่!!!’ เสียงที่ควรจะโกรธจัดกลับแหบพร่ายั่วยวนอารมณ์คนฟัง ร่างกายที่นึกอยากจะถลาไปตบแก้มอูมๆ
กลับขยับถอดเสื้อผ้าตัวเองไปทีละชิ้น จนชายหนุ่มยกยิ้มกว้าง
‘จะฆ่าพี่จริงอ่ะ
ถ้าฆ่าพี่ก็ไม่มีคนช่วยตัวเล็กสิครับ’ คนกวนประสาทก็ไม่วายแหย่คนรักที่แทบจะอ้าแข้งอ้าขารออยู่แล้ว
จนเรียวอุคบอกเสียงสั่น
‘ฉะ...ฉันจะฆ่าพี่จริงๆ ถ้าไม่มาช่วยตอนนี้เลย
ฮื่อ...มันร้อนไปหมดแล้ว’ เรียวอุคบอกอย่างทนไม่ไหว
ซึ่งทำให้คนตัวโตก้าวเข้ามาอุ้มร่างที่ร้อนผ่าวของเขาไปวางอยู่บนหน้าคอนโทรลควบคุมเรือ
ดวงตาคู่คมก็จ้องมองมา แล้วเอ่ยคำที่ทำให้ถ้าเป็นเวลาปกติ
เรียวอุคคงกระซวกไส้ไปแล้ว
‘ขอพี่สิรับตัวเล็ก ขอหวานๆ
เอาแบบให้พี่อยากคลั่งตายน่ะ’
และสุดท้าย
เขาก็ต้องทำตามที่ไอ้พี่เย่บอกทุกอย่าง ไม่เว้นแต่ร้องขอเสียงพร่า
บอกความต้องการของตัวเองออกไปอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้
“...แล้วพี่คิดดูนะ ไอ้พี่เย่เสร็จไปสี่รอบนะตอนนั้น
ส่วนฉันนะ อย่าให้นับเลย เจอไอ้ยาเวรนั่นไปน่ะ” เรียวอุคเล่าอย่างแค้นๆ
กับเรื่องราวที่แปลกพร้อมกับออฟชั่นเสริมมียาปลุกเซ็กส์อีกขวดที่ทำเอาฮีชอลถามอย่างเป็นห่วง
“แล้ว...หลังจากนั้นเป็นยังไงบ้าง”
คำถามที่กระรอกตัวแสบคลายสีหน้าโมโหลงแล้วหัวเราะเบาๆ
“พี่ซินไม่ต้องห่วง
ฉันไม่ได้ทะเลาะอะไรกับไอ้พี่เย่หรอก ตอนนั้นแค่โมโหว่าดูถูกกันหรือที่ต้องใช้ยาปลุก
อย่างคิมเรียวอุคน่ะ บิ๊วเอาล้วนๆ ไม่ต้องอาศัยของพวกนั้นก็ได้ สุดท้าย
ฉันก็เลยห้ามให้พี่เย่มีอะไรด้วยอาทิตย์นึง เอาให้แห้งเหี่ยวไปเลย
โทษฐานที่หาเรื่องเล่นไม่รู้เรื่อง” เรียวอุคบอกอย่างสะใจ
เมื่อนึกถึงคนรักที่พยายามอ้อนยังไง เลิกกวนยังไง เขาก็ไม่หายโกรธ
ก็บังอาจมาใช้ยากับเขาเลยนะนั่น
“แล้วเหนื่อยมากมั้ย...”
ฮยอกแจที่หน้าแดงไม่รู้จะแดงยังไงเอ่ยถามขึ้นมาบ้างอย่างอยากรู้
ก็เขาไม่เคยโดนนี่นา ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ ชีวิตนี้ขออย่าโดนเลยดีที่สุด
“นายก็ขอให้พี่ฮันเอามาละ...” ลองกับนายสิ
“นึกออกแล้ว ออนท๊อปกลางชายหาดไง!”
หืม
แต่ก่อนที่เรียวอุคจะแซวเพื่อนไก่จบ
คนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นตั้งนานก็ตะโกนโพล่งขึ้นมา
ใบหน้าเรียวสวยเงยขึ้นมองด้วยรอยยิ้มกว้างประหนึ่งขบคิดโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดออก
แล้วดงแฮก็คลานขึ้นมานอนบนเตียงพร้อมกับตุ๊กตาตัวใหญ่และขนมขบเคี้ยวอีกถุง
“นี่ๆ ต่อไปตาด๊องนะ ด๊องคิดออกแล้วว่าที่ไหนที่แปลก”
ดงแฮบอกอย่างร่าเริง ในเมื่อฟังเรื่องเล่าของเพื่อนกับพี่ไปแล้ว
เขาก็เลยคิดออกว่ามีที่ไหนที่เข้าข่ายว่าแปลกได้บ้างจนต้องรีบพูดออกไปก่อน
ท่าทางกะตือรือร้นอยากเล่าของปลาน้อยประจำชมรมอย่างที่ไม่จำเป็นต้องเค้นต้องข่มขู่ให้มากเรื่อง
ทำให้ซองมินหัวเราะอย่างชอบใจ
ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะเป็นลีดงแฮ
“งั้นนายเล่าเลยด๊อง กลางหาดเลยหรือ
ไม่มีคนอื่นเห็นหรือไง”
ซองมินถามอย่างอยากรู้ซึ่งทำให้คนที่ควรจะเขินพยักหน้าหงึกหงัก เสียงใสก็ว่าเจื้อยแจ้วอย่างน่ารัก
“ไม่มีคนอื่นหรอก
มินมินจำบ้านพักของพี่คิบอมที่เคยจัดงานแต่งกันหนก่อนได้มั้ยล่ะ”
แน่ล่ะว่าทุกคนจำได้อยู่แล้วถึงงานแต่งงานเล็กๆ
ของคิมคิบอมและลีดงแฮที่เจ้าบ่าวเซอร์ไพรท์เจ้าสาวไม่ให้รู้ตัว งานเล็กๆ
ที่แสนอบอุ่นและมีแต่เพียงครอบครัวและเพื่อนฝูงร่วมกันอวยพร
“หลังจากจบงาน
พี่คิบอมกับด๊องก็อยู่ที่นั่นต่ออีกสองสามวันใช่มั้ยล่ะ
คุณพ่อพี่คิบอมบอกว่าถือว่าเป็นฮันนีมูนเล็กกันก่อน
แล้วคืนสุดท้ายที่อยู่ที่นั่นน่ะ ด๊องยังไม่อยากกลับ
ทุกคนก็รู้นี่นาว่าด๊องชอบทะเล ชอบน้ำทะเล พอบอกพี่คิบอมว่าขอเล่นน้ำได้มั้ยฮะ
พี่คิบอมก็เลยพาออกไป...”
“ตอนนั้นกี่โมงๆ”
“น่าจะประมาณสามทุ่มนะ แต่มันก็ไม่มืด
พระจันทร์กำลังเต็มดวง มีแสงมาจากบ้านพักพี่คิบอมลงไปให้เห็นหาดทรายด้วย”
ดงแฮเอ่ยปากเล่าพลางนึกถึงวันนั้น แล้วไม่รู้ว่าเพราะสายตาของเขามันหงอยมากเกินไปหรือเปล่า
พี่คิบอมถึงพาลงไปเล่นน้ำเอาเวลานั้น...
ในคืนวันนั้นทั่วทั้งหาดไม่มีใครอยู่สักคนเดียว
มีเพียงแค่เราสองคนกับน้ำทะเลที่ซัดเข้ามากระทบหาด
แสงจันทร์ก็สาดแสงลงมาให้ไม่มืดจนเกินไป จนดงแฮถลาลงไปจุ่มตัวในน้ำทะเลเย็นๆ
ที่ซัดเข้ามาโดนร่าง ขณะที่พี่คิบอมก็อยู่ใกล้ไม่ห่าง ฝ่ามือใหญ่สอดรัดเข้าที่เอวบอบบางตลอดเวลา
จนกระทั่งพวกเขาเปียกโชกไปทั้งตัว
แล้วในยามที่ดงแฮเงยหน้าขึ้นมองพี่คิบอม
เขาก็พึ่งสังเกตเห็นดวงตาคู่คมที่เข้มวาว และบ่งบอกถึง...ความต้องการ
อาจจะเพราะตอนนั้นร่างเล็กสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของอีกฝ่ายกับกางเกงขาสั้น
แล้วพอเปียกน้ำ เสื้อก็แนบไปกับลำตัวจนแลเห็นจุดเล็กๆ
สีชมพูอ่อนทั้งสองข้างโดดเด่นขึ้นมา
ใบหน้าคมคายที่บางส่วนซ่อนอยู่ในความมืดยิ่งทำให้พี่คิบอมมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
อีกทั้งชายหนุ่มยังก้มหน้าลงมาชิดริมฝีปากได้รูป เพียงปัดผ่านเบาๆ
เขาก็ร้อนวูบวาบเสียแล้ว มารู้ตัวอีกที พี่คิบอมก็กำลังครอบครองริมฝีปากนุ่มจนได้แต่ครางพร่าในลำคอ
ฝ่ามือใหญ่ก็ลูบแผ่นหลังเปียกไปด้วยน้ำทะเลเบาๆ
‘ฉันขอนะ
ภรรยาของฉัน’
เสียงนุ่มทุ้มยังดังติดอยู่ในหู หลังจากที่พวกเขาทั้งคู่กอดจูบกันจนเสื้อตัวใหญ่หลุดไปถึงช่วงข้อศอกขาวผ่อง
เผยเนื้อตัวช่วงบนให้พี่คิบอมแตะชิมไปทุกที่ คำถามที่ดงแฮได้แต่พยักหน้ารับอย่างขัดเขิน
‘ฮะ’ สิ้นคำตอบตกลง คิบอมก็อุ้มร่างเล็กขึ้นมาที่ชายหาด ริมฝีปากทั้งสองแนบชิดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
เสื้อผ้าที่เปียกโชกถูกถอดรั้งออกไปทีละชิ้น...ทีละชิ้น จนเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าของคนทั้งสอง
ตอนนั้น
แสงจันทร์ยามค่ำคืนและแสงไฟสลัวลางทำให้พวกเขาทั้งสองลืมเลือนทุกอย่าง
ลืมว่าอยู่ที่ไหน ลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงว่า...มีกันและกัน
และมารู้ตัวอีกที ดงแฮก็ถูกจับขึ้นไปอยู่เหนือเรือนร่างสูงใหญ่
ปล่อยเสียงครางพร่าออกมาไม่มีหยุดเพราะเหตุผลของคนรูปหล่อที่ห่วงใยเขาเสมอ
‘ไม่อยากให้ผิวเธอถูกทรายบาด’
ท่ามกลางเสียงคลื่นที่ซาดสัดเข้ามากระทบฝั่ง
แสงจันทร์ที่อาบไล้ผิวขาวราวน้ำนมสดที่แตะแต้มไปด้วยรอยแดงมีเพียงเสียงกระซิบบอกรักของคู่แต่งงานใหม่ที่เอ่ยไม่ขาดปาก
“...”
กลับมาสู่ปัจจุบัน
คนทั้งห้องกำลังเงียบกริบ มองดงแฮที่กำลังเล่าเรื่องราวคืนนั้นออกมาเรื่อยๆ
แล้วด้วยความที่เป็นดงแฮ คนหน้าหวานก็เลยจัดการเล่าซะละเอียดยิบว่าถอดเสื้อตอนไหน
พี่คิบอมทำอะไรบ้าง
เรียกว่าทำเอาคนหน้าไม่บางอย่างคู่หูชมรมคหกรรมหน้าแดงหูแดงเถือกไปหมดแล้ว
“เรื่องก็มีเท่านี้ล่ะ แล้วก็ไปต่อกันในห้องน่ะ...อืม
แปลกพอมั้ย”
ดงแฮจบเรื่องของตัวเองด้วยการกวาดสายตามองคนในห้องที่ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น
ก่อนที่แก้มขาวๆ จะเริ่มแดงเรื่อขึ้นมาทีละนิด
“อ่า จริงๆ
เรื่องพวกนี้ด๊องไม่ควรเล่าใช่มั้ยเนี่ย”
“รู้สึกช้าไปแล้วนายน่ะ เล่ามาจบเรื่อง
ทำเอาพวกเราหน้าแดงกันขนาดนี้...นายนี่น้า ไม่แปลกที่พี่คิบอมจะทั้งรัก ทั้งหลง
ทั้งหวง ไม่ยอมให้ไปไหนง่ายๆ” เรียวอุคที่ตั้งสติได้ก่อนบอกเสียงแหลม
จนทำให้ดงแฮแก้มร้อนจัด ก็พอเอ่ยถึงพี่คิบอมทีไร มันก็เขินบอกไม่ถูกทุกที
“จริงๆ ฉันอยากให้ด๊องเล่าต่อนะ
คือหมอนี่เล่าแบบว่าเห็นภาพน่ะ จูบตรงไหน ซุกตรงไหน ไซ้ตรงไหน แต่เดี๋ยวพี่ซินจะเขินตายไปก่อน
งั้นต่อไปใครดีเอ่ย...เอ สะใภ้คนจีนดีมั้ยน้า” ซองมินว่าอย่างขำๆ
กับพี่ใหญ่ที่ยิ่งเขินก็ยิ่งจิบเบียร์ที่เขาส่งให้
แถมพอแซวหน่อยก็ค้อนให้เสียคอแทบเคล็ด จากนั้นก็เริ่มเหล่ลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่กำลังจะซุกผ้าห่มหนีอยู่แล้ว
“ไม่เล่าฉันจะจับนายแก้ผ้าจริงๆ ด้วย”
“พวกนายนี่!!! แกล้งฉันตลอดเลย” ฮยอกแจพึมพำเบาๆ ก่อนที่จะทำหน้าลำบากใจนิดๆ
มือเรียวก็เกาท้ายทอยแก้เก้ออย่างไม่รู้จะเล่าอะไรดี
“ฉันว่าพี่ฮันของนายน่าจะมีเรื่องให้เล่าเยอะนี่นา
เล่ามาสักเรื่องเถอะ”
“ใช่ พี่เห็นด้วยนะ อืม
ฮันเขาดูน่าจะเป็นคนเปิดเผยน่ะ”
อีทึกเสริมขึ้นมาอีกหน่อยที่ทำให้ฮยอกแจทำหน้าไม่ถูกก่อนจะส่ายหน้าเร็วๆ
“เรื่องอื่นพี่ฮันเปิดเผยฮะพี่ทึกกี้
แต่ไม่ใช่เรื่องนี้แน่ๆ...” ฮยอกแจตอบคำรุ่นพี่ตาสวย ก่อนจะหันไปมองเพื่อนที่เหลือ
“...ฉันไม่มีที่แปลกจริงๆ นะ ฉันไม่ได้เอาเปรียบไม่ยอมเล่าด้วย
แต่พี่ฮันกับฉันไม่เคยนอกสถานที่กันเลยสักครั้ง” คำพูดที่ทำให้เพื่อนๆ
ดูจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะถาม จะขู่ยังไง
ฮยอกแจก็ได้แต่บอกว่าไม่เคยทำนอกสถานที่จริงๆ
แล้วยิ่งสบกับดวงตาเรียวรีที่ไม่ได้หลบสายตาก็บอกว่า...ฮยอกแจพูดจริง
“ฮยอกพูดจริงนะ ด๊องช่วยยืนยันได้
พี่ฮันเป็นคนขี้หวง อันนี้พี่คิบอมเคยบอกด๊อง” ดงแฮแย้มยิ้มหวาน บอกเสียงใส
ช่วยเพื่อนสนิทที่กำลังถูกต้อนจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ซึ่งทำให้ฮยอกแจพยักหน้าเร็วๆ
เอ่ยเล่าลิ้นรัว
“จริงๆ นะ
แค่ไปซื้อเสื้อผ้ากับหม่าม๊าเพ่ยอิงแล้วฉันส่งเสียงไม่ให้หม่าม๊าช่วยถอด
พี่ฮันก็ไล่คนออกหมดร้านเลย” เมื่อฮยอกแจยืนยันหนักแน่น
แต่มีหรือที่สองสาวจะยอมแพ้ง่ายๆ ซองมินก็เลยพยักหน้ากับตัวเอง
แล้วถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกนิด
“ก็ได้ ฉันเชื่อก็ได้...งั้นเล่ามาว่าครั้งสุดท้ายที่มีอะไรกันมากกว่าห้าครั้งคือที่ไหน
และบอกด้วยว่าตรงไหนบ้าง”
ง่า ไก่อยากตาย ใครก็ได้มาตอบแทนที
ฮยอกแจนึกอยากจะทึ้งหัวตัวเองสักที
ยิ่งเมื่อสบสายตาที่ว่า ฉันต้องรู้ให้ได้ของเพื่อนก็ทำเอาภาพเมื่อยามที่กลับมาจากจีนวันแรกวิ่งวูบเข้ามาในหัว
คืนนั้นน่ะมากกว่าห้า แต่เรื่องอะไรที่เขาจะตอบเล่า เอาแค่ตรงคำถามก็พอ
“กะ...ก็ที่คอนโดพี่ฮัน
วันที่ฉันกลับมาจากจีนน่ะ...”
“อ้อ อารมณ์แบบคิดถึงบ้าน”
“นั่นแหละ แบบนั้นเลย”
ฮยอกแจรีบพยักหน้ารับ อะไรที่ไม่ลงลึก เขาก็ยอมเล่าหมดแหละ แต่ก็เพียงพักเดียว
ก่อนที่ดงแฮจะถามเสียงใส
“แล้วที่ไหนบ้างล่ะ”
“กะ...ก็ ในห้องรับแขก...บนโซฟา...เคาน์เตอร์ครัว...”
ยิ่งตอบ ฮยอกแจก็เล่าเสียงเบาลงเรื่อยๆ แก้มใสแดงก่ำเหมือนจะระเบิดเสียให้ได้ แต่ยิ่งเพื่อนๆ
พากันจ้องไม่ยอมละไปไหน เขาก็ได้แต่เอ่ยปากบอกต่อไป
“...คะ...เคาน์เตอร์บาร์...”
“ที่สุดท้ายล่ะที่สุดท้าย เล่ามาๆๆ”
เรียวอุคเร่งอย่างลุ้นๆ ก่อนที่ฮยอกแจจะก้มหน้าคางแทบชิดอกแล้วบอกเสียงเบายิ่งกว่า
“นะ...หน้าประตห้องนอน ง่า ครบแล้ว
ของฉันผ่านแล้ว” ฮยอกแจรีบบอกเสียงสั่น
ใบหน้าสวยก็ซุกกับหมอนที่ตัวเองกอดอยู่ไปเรียบร้อยแล้ว แก้มก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ
มือไม้เกะกะขึ้นมาทันตา ในเมื่อ คืนวันนั้นมันไม่หยุดเท่านั้นนี่นา
‘เหนื่อยแล้วหรือ
หืม ยังไม่ทั่วห้องเลย’
เสียงนุ่มทุ้มของฮันคยองกระซิบเบาๆ
ริมหู ยามที่ร่างสูงใหญ่ยืนซ้อนหลังอยู่หน้าประตูห้องนอน
ฝ่ามือใหญ่ก็ช้อนขาเรียวเอาไว้มั่น ประคองไม่ให้ร่างเล็กๆ ทรุดไปกองกับพื้น
ใบหน้าคมคายก็ขยับซุกเข้าที่ซอกคอชื้นเหงื่อแล้วพรมจูบเบาๆ
‘พะ...พี่เอาจริงหรือฮะ
ถ้าเอาจริง นี่มันยังไม่ถึงครึ่งเลย...’ ฮยอกแจได้แต่ถามเสียงสั่นสะท้าน
เนื้อตัวก็หวิวไหวไปหมดกับสัมผัสของฝ่ามือที่ไล้วนอยู่ตรงแผ่นท้องขาวผ่อง
ปลุกเร้าความต้องการที่เพิ่งปลดปล่อยไปให้กลับมาอีกครั้ง
‘ก็เวลาที่ฉันกอดเธอ
ฉันจะรู้สึกว่าต้องการมากกว่านี้ อยากกอดมากกว่านี้ เธอทำให้ฉันเป็นคนโลภนะฮยอกแจ’
ฟึ่บ
ว่าจบ
มาเฟียหนุ่มก็จัดการอุ้มเมียคนสวยไปอีกทิศทางหนึ่ง
บ่งบอกว่าคืนวันนั้นน่ะไม่มีทางจบลงง่ายๆ เป็นแน่
แล้วหลังจากนั้นอย่าหวังเลยว่าคนตัวเล็กจะอยู่บน ได้แต่นอนหมดเรี่ยวแรง
ปล่อยให้พี่ฮันนำทางไปจวบจนเช้าวันใหม่นั่นแหละ
แล้วให้ตายเถอะ ยังไงไก่ก็เล่าไม่ได้
ถ้าเล่าไปได้หน้าระเบิดบึ้มเพราะเขินแน่ๆ
ฮยอกแจบอกกับตัวเองเบาๆ
แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่จะมีใครถามคำถามเจาะลึกกับเขา
มือเรียวก็สะกิดแขนของซองมินยิกๆ
“ฉันผ่านแล้ว ตานายนะมินมิน”
จัดการโยนให้เพื่อนเสร็จ ฮยอกแจก็ขยับมากอดเพื่อนซี้อย่างดงแฮแน่น ให้คนน่ารักของท่านประธานคิมหัวเราะเสียงใส
ใบหน้าน่ารักทั้งสองก็มองเพื่อนกระต่ายที่วนมาถึงตาตัวเองบ้าง
“มา ตาฉันแล้วก็ได้...อืม
ของฉันไม่ใช่ที่แปลกนะ เอาเป็นว่าเริ่มแปลกแล้วกัน” ซองมินบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง
พลางนึกเรื่องของตัวเองบ้าง แต่เหมือนว่าคำพูดนี้จะทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้
“เริ่มแปลกคืออะไรล่ะ”
ฮีชอลถามอย่างสงสัยจนทำให้เจ้าของเรื่องหัวเราะคิก
“ก็เริ่มตอนที่คยูเล่นวอร์คาร์ฟพร้อมกับกอดฉันน่ะพี่ซิน
เสียบหูด้วยนะ” ซองมินเล่าอย่างขำๆ
พลางนึกถึงตอนที่ไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์ของเขาเล่นเกมติดพันไม่ยอมลุกไปไหน
แล้วเกมยอดฮิตอย่างวอร์คาร์ฟก็เล่นออนไลท์ เจ้าตัวเล่นเปิดลำโพงเสียงดัง
ลำคอก็มีเฮดโฟนอันใหญ่ครอบหูอยู่ บ่งบอกว่าพูดคุยกับคนในทีมผ่านเสียงแน่ๆ
แล้วก็เป็นอย่างนั้นมาหลายชั่วโมง จนกระทั่งซองมินนึกหมั่นไส้
ร่างเล็กของๆ
กระต่ายตัวน้อยที่เดินมาด้านหลังคนรัก แล้วเห็นกำลังเมามันกับการตะโกนสั่งอะไรที่เขาไม่เข้าใจ
แต่ไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกยังไง คยูฮยอนก็ยังติดพันกับเกม
จนเขาต้องยู่ปากอย่างไม่พอใจ แล้วความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมา ร่างเล็กก็เลย...จัดการคลานลงไปที่ใต้โต๊ะ
‘ซองมินทำอะไรน่ะ!!’
คยูฮยอนถึงกับสะดุ้งน้อยๆ เมื่อคนรักแสนสวยของตัวเองคลานลงอยู่ใต้โต๊ะ
จนนึกว่าเมียโกรธจนจะดึงปลั๊กไฟของเขาทิ้งหรือเปล่า
แต่กระต่ายตัวน้อยกลับแย้มยิ้มหวาน มือเล็กๆ ก็วางแปะที่ต้นขาของคนรักทั้งสองข้าง
‘คิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ’
‘ขออีกเกมนะ
ใกล้จบแล้วด้วย’ คยูยอนรีบบอก
เมื่อฝ่ายของตัวเองที่เล่นเกมอยู่กำลังจะได้ชัยชนะมาในกำมือ ทั้งที่คนอื่นอาจจะหงุดหงิดที่เมียมายุ่มย่ามตอนกำลังเล่นเกม
แต่ไม่ใช่กับคยูฮยอน แน่ล่ะ จะมีเกมไหนเล่นแล้วมันเท่าเมียตัวเองไม่มีแล้วล่ะ
อีกอย่าง...กระต่ายโกรธนี่หมายถึงนรกมาเยือนเลยนะ
‘เปล่า นายก็เล่นเกมไปสิ
ฉันก็จัดการเรื่องของฉัน อ้อ ถ้าไม่อยากให้อะไรหลุดออกไปก็ปิดลำโพงนะ
เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน’ ซองมินว่าด้วยรอยยิ้มหวาน
แล้วก็จัดการ...
ฟึ่บ
ดึงกางเกงนอนของคนรักลงมาอย่างที่คนเจ้าเล่ห์ก็งุนงงเพียงครู่เดียว
แต่หลังจากนั้นก็ได้แต่ยกสะโพกขึ้นให้กระต่ายตัวน้อยดึงกางเกงไปโดยง่าย เกมที่ว่าสนุกเหมือนจะสู้ดวงตามากความหมายของซองมินไม่ได้เสียแล้ว
แล้วหลังจากนั้น คนในเกมก็ได้ยินเสียงแม่ทัพใหญ่จอมวางแผนอย่างคยูฮยอนร้องออกมาว่า
‘ซี๊ดดดด สุดยอดเลย...’
แล้วคยูฮยอนก็หลุดออกจากเกมอย่างที่ไม่สามารถติดต่อได้เป็นเวลาอีกหลายชั่วโมง
ที่แน่ๆ ซองมินรู้สึกว่าเกมนี้...เขาเนี่ยล่ะชนะที่ทำให้หมาป่าตัวร้ายหยุดทุกสิ่ง
แล้วนั่งให้เขาจัดการ
“แรงอ่ะ มินมิน
ตอนนั้นใช่ตอนพี่เย่กับพี่คยูอยู่ปีสี่ใช่มั้ย
ฉันจำได้ว่าพี่เย่โวยวายใหญ่เลยที่อยู่ๆ พี่คยูก็หายออกไปจากเกมซะเฉยๆ เห็นว่าสุดท้ายชนะก็ยังน่าเจ็บใจอยู่ดี
แล้วพี่เย่ยังบอกว่าพี่คยูน่ะเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมบอกอะไรเลยว่าหายไปไหน”
เรียวอุคถึงกับลืมตาโพลงกับการกระทำของเพื่อนสนิท แต่เหมือนว่าจะทำให้คนอื่นอ้าปากค้างไปแล้ว
ก็แหม แม้ไม่แปลกสถานที่
แต่ก็เริ่มแปลกจริงๆ ด้วยนี่นะ
ฟึ่บ
พอจบเรื่องของเพื่อนๆ ทุกคนแล้ว
ทุกสายตาก็หันไปมองเจ้าหญิงคนสวยที่ยิ้มแห้งๆ
แก้มใสแดงระเรื่อไม่รู้ว่าเขินจากเรื่องที่ได้ฟัง
หรือเจ้าเบียร์ที่ซดแก้เขินไปจนหมดกระป๋องนั่น ใบหน้าเรียวก็ก้มน้อยๆ
แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
ในเมื่อทุกคนก็เล่ามาแล้ว
ถ้าเขาไม่เล่ามันก็ไม่ควรนี่นะ
“ของพี่บนเคาน์เตอร์ที่ร้าน”
“ห๊า!!!”
สาบานได้ว่าแม้แต่อีทึกก็อุทานอย่างตกใจ
เมื่อฮีชอลที่รวบรวมความกล้าเอ่ยโพล่งขึ้นมาแต่ทำให้เงียบกันเสียทั้งห้อง
อีกทั้งสถานที่ก็ทำเอาพูดไม่ออกจริงๆ
“ตอนไหนน่ะซิน นายเนี่ยนะ
แล้วร้านเราก็กระจกทั้งร้าน คนอื่นมองมาก็เห็นหมดนะ” อีทึกถามอย่างงุนงง
ที่ทำเอาคนเล่าหัวเราะแห้งๆ แต่เหมือนการมีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ
ทำให้เจ้าหญิงคนสวยเอ่ยเล่าออกมาด้วยเสียงที่เบาแสนเบา
“ก็...ก็วันนั้นฉันบอกว่าจะค้างที่ร้านน่ะ
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าซีวอนจะมาค้างด้วย แต่ตอนประมาณสี่ทุ่มมั้ง ซีวอนก็โทรมาบอกว่าอยู่ข้างนอก
แถมยังเอาไวน์มาขวดใหญ่ด้วย เห็นว่าโครงการที่เป็นคนรับผิดชอบผ่านไปด้วยดีน่ะ
เลยอยากมาฉลองด้วยกัน”
“แล้วพี่ก็เมา
แต่ยังไงร้านก็เป็นกระจกนี่นา”
ประเด็นที่ทุกคนสงสัยพลางนึกถึงร้านขนมแสนน่ารักที่ล้อมรอบไปด้วยกระจกที่ทำให้เห็นบรรยากาศภายในร้านได้
จนฮีชอลรีบส่ายหน้าเร็วๆ
“มะ...ไม่หรอก
เวลาที่ปิดไฟกับเป็นเวลาตอนกลางคืน คือกระจกที่ร้านจะทำให้มองเห็นข้างนอกได้
แต่ข้างนอกมองเข้ามาไม่ได้น่ะ” ฮีชอลอธิบายเบาๆ
พลางนึกถึงวันที่เขาไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าขนาดนั้น
จนได้แต่โทษว่าเป็นเพราะ...ไวน์ขวดนั้น
ไวน์แดงที่เขาและซีวอนดื่มจนหมดขวด
แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นคนตัวโตก็เถอะ แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆ
ว่าอารมณ์ไหนถึงนั่งดื่มกันไปแล้วปิดไฟเสียมืดสนิท
มองผู้คนที่เร่งรีบเดินทางกลับบ้านอย่างเพลินๆ เสียงพูดคุยก็ดังเบาๆ ไปเรื่อยๆ
หมับ
‘คิดถึงคุณจังเลยครับซิน’
ซีวอนที่จัดการเก็บแก้วไปไว้หลังร้านแล้วเดินมาโอบเข้าที่เอวบอบบางของคนที่นั่งมองผู้คนเดินผ่านไปมา
ใบหน้าคมคายก็ขยับมาซุกที่ซอกคอหอม แล้วกดจูบเบาๆ อย่างแสนรักใคร่
ให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงหมุนตัวไปมอง
ใบหน้าสวยที่แดงระเรื่อ ทั้งยังฉ่ำหวานกว่าปกติ
ทำให้ซีวอนอดไม่ได้จะขยับไปกดจูบที่เรียวปากสีระเรื่ออย่างเบาแรง
อย่างทะนุถนอมแบบที่ทำเสมอมา จูบหวานๆ
ที่ร้อนแรงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์จนต่างฝ่ายต่างประกบจูบเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
นาน...จนไม่รู้เหมือนกันว่านานแค่ไหน
‘กอดฉันนะซีวอน’ แล้วอาจจะเพราะฤทธิ์ของดวงตาคู่คมที่ทอดมองอย่างแสนรักก็ได้ที่ทำให้เจ้าหญิงคนสวยเอ่ยออกไปราวกับเสียงละเมอ
คำที่ทำให้ซีวอนนิ่งอึ้งไปครู่ แต่ก็เพียงพักเดียว
ก่อนที่อ้อมแขนอบอุ่นจะยกร่างเล็กขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ
พร้อมกับใบหน้าคมคายที่ขยับเข้ามา
‘ผมรักคุณ เจ้าหญิงของผม’
และคืนนั้นก็เป็นคืนที่ฮีชอลตื่นเต้นกับบทรักของคนรักแทบบ้า
ดวงตาคู่สวยก็เห็นว่าผู้คนเดินผ่านไปมาหน้าร้าน แม้จะรู้ว่าเขามองเข้ามาไม่เห็น
แต่เขาก็อายเหลือเกิน อายจนมีอารมณ์มากกว่าปกติ
เรียกว่าตื่นเช้ามาแทบไม่กล้ามองหน้าซีวอนเลยทีเดียว
“เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ ไม่เอา
ไม่เล่าแล้ว” ฮีชอลส่ายหน้าเร็วๆ บอกว่ายอมเท่านี้นะ ไม่เล่าอะไรมากกว่านี้นะ
จนทำให้เรียวอุคหัวเราะเบาๆ แล้วหันมาหาอีทึกที่ยังทำหน้าแปลกใจอยู่
“พี่ทึกกี้ เอาไว้วันไหนร้านปิด
ฉันขอยืมนะ อยากรู้ว่ามันจะตื่นเต้นขนาดไหน”
เพี๊ยะ!!
“คิมเรียวอุค” ฮีชอลตีไหล่ของรุ่นน้องแรงๆ
ฟันคมกัดริมฝีปากล่างแน่น ท่าทางของคนเรียบร้อยที่กลายเป็นว่าที่แปลกกว่าชาวบ้าน
ทำเอาหลายคนพากันหัวเราะอย่างเห็นขำ
เสียงใสๆ
ของคนทั้งหกที่พูดคุยกันอย่างลืมเวลา เหมือนย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน
ตอนที่ยังไม่มีใครก้าวเข้ามาในชีวิต แต่ในเมื่อตอนนี้มีใครบางคนที่เข้ามามีอิทธิพลกับหัวใจแล้ว
ดวงตาหลายคู่ก็อดจะมองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงของดงแฮไม่ได้
“ว่าแต่ ตีสองครึ่งแล้ว
ป่านนี้พวกคังอินจะทำอะไรกันอยู่นะ” อีทึกเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกเป็นห่วงคนรัก
ซึ่งเหมือนจะทำให้ลายคนสงสัยไม่ยากเย็น หรือเอาจริงๆ กำลังวางแผนปีนบ้านดงแฮอยู่
แต่มาคิดอีกที...ถ้าทำงั้นจริงคงเสียมาดน่าดู
“อ้อ
เมื่อกี้พี่คิบอมบอกว่าจะไปผับของพี่ฮันฮะ สงสัยตอนนี้ยังอยู่ที่โน่นล่ะมั้ง”
แล้วดงแฮก็เป็นคนเฉลยข้อสงสัย พร้อมกับชูโทรศัพท์มือถือเครื่องสำรองขึ้นมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
ก็พี่คิบอมบอกเขาก่อนที่เขาจะหันมาคุยกับเพื่อนนี่นะ
คำพูดที่ทำให้ซองมินและเรียวอุคอดจะคิดเหมือนกันไม่ได้
“ไม่ใช่ว่านั่งนินทาพวกเราเหมือนที่เรานั่งคุยเรื่องพวกนั้นหรอกนะ”
คำถามที่แต่ละคนอดจะคิดเหมือนกันไม่ได้
นั่นสินะ
ป่านนี้ชายหนุ่มผู้พ่ายแพ้ทั้งหกกำลังทำอะไรกันอยู่
...........................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น